
เย็นวันหนึ่งหลังเลิกโรงเรียน ผมคว้าจักรยานคันเก่งปั่นกลับบ้านซึ่งห่างจากโรงเรียนราวๆ 10 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าธรรมดามา เพราะเพื่อนที่ปั่นมากับผมบ้านมันห่างจากโรงเรียนถึง 25 กิโลเมตร เพื่อนผมคนนี้ชื่อ ทวี วันนี้เป็นวันศุกร์ที่มีความสุขมากเพราะ เป็นวันที่ส่งโครงงาน ที่อาจารย์ให้ทำแบบแปลนบ้าน เสร็จอาจารย์ตรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราทั้งคู่ก็เลยต้องมีม้วนกระดาษเขียนแบบเหน็บรถจักรยานปั่นกลับบ้านด้วยกันทั้งคู่
“วี มึงได้คะแนนดีไหม”
“แบบกูสกปรกไปหน่อย อาจารย์เขาตัดคะแนนกูแทบทุกแผ่นแหละ มึงหล่ะเป็นไงมั่ง”
“ก็ดีหน่อย เพราะกูชอบวิชาแบบนี้เป็นทุน แต่คณิตสิกูแย่ว่ะ”
“กูดันไปชอบภาษาไทยว่ะ” วีตอบ (ผมไม่แปลกใจเลยเพราะตลอดเวลา เจ้าวีมันจะแอบเอาหนังสือ บางกอก มาอ่านเล่นบ่อยๆ วีถือว่าเป็นเพื่อนที่มีจะกินพอควรเมื่อเทียบกับผมที่แม้จะกินก็ไม่มี อย่าว่าแต่ซื้อหนังสืออ่านเลย
ขณะที่ผมกับวีปั่นรถออกจากกลุ่มนักเรียนที่บ้านอยู่ใกล้ๆโรงเรียน ก็เหลือผมกับวีสองคน ปั่นทอดน่อง ไปเรื่อยๆตามทางหลวง จนถึงโค้งที่บริเวณหน้าวัดหนองเรือคำ
“ฟ้าๆ กูว่าหยุดพักเหนื่อยตรงศาลานี่ก่อนดีกว่า”
“อื้อได้ๆ” ผมตอบเพราะไม่อยากขัดเพื่อนเพราะไม่ได้รีบร้อนไปไหนอยู่แล้ว แต่ที่อยากพักเพราะไม่เจ้าวีมันคงไม่อยากปั่นรถตากแดดร้อนๆช่วงเวลานั้นเป็นเวลาราวๆ สี่โมงครึ่งเห็นจะได้ ผมหันหลังให้ถนน เจ้าวีหันหน้าออกถนนนั่งคุยกันในเรื่องโครงงานที่อาจารย์ให้ทำแบบบ้าน
“นี่วี มึงดูนี่ มึงว่าเอาห้องน้ำไปอยู่บ้านชั้นสองของบ้านไม้มันสมควรไหม มึงว่า กูโดนอาจารย์เขาเขียนเครื่องหมายคำถามไว้ ไม่รู้ว่าจะชม หรือตำหนิ” ผมกางแบบออกให้เจ้าวีดู
“กูว่าไม่ควรว่ะ มึงทำไปทำไม”
“อ้าว มึงเคยปวดอึ ตอนกลางคืนไหม ทำไมต้อง เดินจากชั้นบน ลงมาชั้นล่างให้เมื่อยตุ้มด้วยว่ะ นี่ไม่รวมกลัวผีอีกต่างหากนะ”
“กูไม่อึตอนกลางคืน ถ้าเยี่ยวกูก็ยืนโด่นอกชานนั่นแหละ”
“แต่กูว่าทำชั้นสองแบบนี้และดี ที่กูกลัวคือไม้ผุเพราะความชื้นมากกว่า”
“อื้อมึงเก่ง มึงดูแบบของกูนี่ ปากกาแดงเพียบ ไม่รู้จะบอกอะไร มีแต่เครื่องหมายคำถาม” เจ้าวีคลี่แบบแปลนบ้านออกให้ผมดู เครื่องหมายคำถามสีแดงๆปรากฏ บนแบบบ้านไปทั่วแผ่น
“เออๆ ชั่งเถอะว่ะ เราส่งแล้วนี่ อาจารย์ก็ตรวจละด้วย เราจะบ่นไปทำไม”
ขณะที่ผมกับวีกำลังคุยกันอยู่นั้นรถบัสประจำทางสีส้มจุคนมาแน่นคันรถกำลังวิ่งเข้าโค้งมาพอดีรถบัสวิ่งมาด้วยความเร็วไม่สูงนักราวๆ 40-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่โค้งด้านใน ขณะเดียวกับก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมชุดครึ่งท่อนขี่รถมอเตอร์ไซต์สวนมาอีกทางหนึ่งแต่ ผิดปกติตรงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวกลับขับรถมอเตอร์ไซต์กินล้ำเส้นไปโค้งด้านในซึ่งมีรถบัสวิ่งอยู่ เสียงรถบัสประจำทางสีส้มชนปะทะรถมอเตอร์ไซต์ ดัง โครม! รถบัสซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วไม่มากนักเบรคอย่างสุดแรงเกิด เสียงล้อทับร่างเจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นดัง พลั๊ก ! พร้อมกับมอเตอร์ไซต์คู่กาย เสียงล้อหลังเสียดสีไปกับท้องถนนดัง เอี๊ยด..ด! ยาว พร้อมกับครูด ร่างนายตำรวจผู้โชคร้ายไปกับถนนด้วยล้อหลังที่กำลังเบรค แล้วรถบัสก็เสียหลักหัวพุ่งลงข้างถนน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลาที่ผมนั่งคุยกับเจ้าวี ไม่กี่เมตรนั่นเอง เหตุการณ์ทั้งหมดถูกบันทึก ด้วยความทรงจำผมและเจ้าวี โดยละเอียด ผมไม่เห็นตอนชนเพราะผมหันหลังแต่หลังชนผม หันหน้าขวับ! เห็นความเป็นไปทั้งหมด เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ทำเอาวีและผมตะลึงไปชั่วขณะ
“วีๆ ไปดูตำรวจเร็วๆ ตายยังๆ”
“ไปๆ”
ผมรีบวิ่งมายังนายตำรวจผู้โชคร้าย ซึ่งนอนอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์คู่กาย สภาพมอเตอร์ไซค์แบนแต๊ดแต๋ ส่วนสภาพนายตำรวจใต้เอวลงมาเละตุ้มเปะ ราวกับเอามือขยี้ซาลาเปา เลือดท่วมไปทั่วบริเวณ สภาพเนื้อสดๆเต้นตุ๊บๆ เพราะเชลล์ไม่ตาย ส่วนศีรษะของนายตำรวจเป็นรอยร้าว ตาเหลือกโพลง
“ตายแล้วว่ะ ไปที่รถๆ” ผมบอกกับเจ้าวีถึงภาพที่อยู่เบื้องหน้า ในขณะที่เจ้าวีสีหน้ายังตื่นๆอยู่
“เออๆ ไปๆ”
ผมและวีวิ่งไปที่รถบัสซึ่งเสียหลักพุ่งลงไปข้างถนนซึ่งเป็นคลองเล็ก มีน้ำสูงราวๆหนึ่งเศษๆเห็นจะได้ ด้านหน้าของรถพุ่งลงน้ำฉะนั้นมีประตูเดียวที่จะออกได้คือประตูหลังและหน้าต่าง ส่วนคนขับรถบัสเนื่องจากประตูอยู่สูงกว่าระดับน้ำสามารถเปิดออกด้านข้างได้หาย เข้ากลีบเมฆไปตามระเบียบ (ตามไปทำไมไม่รู้เห็นชอบตามกันจังระเบียบเนี่ย) เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ทหารเกณฑ์มักจะกลับถิ่นฐานบ้านเกิด สิ่งที่ผมเห็นเมื่อผมวิ่งไปยังประตูหลังของรถคือทหารคือผู้ที่พยายามปีนป่ายคนแก่ เด็ก ผู้หญิงออกมาก่อนใครๆ ผมกลัว และการเอาตัวรอด ไม่มีคำว่าสุภาพบุรุษกระนั้นหรือ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดตอนนั้น ยิ่งเขาอยู่ในชุดทหารด้วยแล้ว ผมพยายามเข้าไปเพื่อช่วยผู้ที่ช่วยตัวเองไม่ได้เพราะรถเบรคอาจจะได้รับบาดเจ็บเพราะแรงกระแทก แต่กลับถูกพลังหนีตายของคนแล้วคนเล่า แย่งออกประตูหลังของรถ
หลายคนลงมาจากรถจนทำให้รถโล่งขึ้น ผมจึงเข้าไปในตัวรถได้ คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หัวแตก เข่าแตก และเด็กคือผู้ที่ออกมาหลังสุด ซ้ำร้ายมีเสียงหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาจากภายนอกหน้าต่าง เป็นหญิงซึ่งยืนคอยอยู่ด้านล่างซึ่งพึ่งออกมาได้แล้วพูดขึ้นว่า “หารองเท้าให้ฉันด้วยนะพ่อหนุ่ม มันฉันติดตีนฉันมาข้างเดียวนี่” พร้อมกับยกรองเท้าให้ดู ในขณะที่ผมกำลังช่วยเหลือคนอื่นๆที่ติดอยู่ในรถ ยังมีคนห่วงสมบัติคือรองเท้าอีกข้างของเขาอยู่ สิ่งที่ผมกลัวคงเหมือนๆกับที่หลายๆคนกลัวคือกลัวรถล้มตะแคงลงไปแช่น้ำ จึงรีบแย่งกันออกมา ในที่สุดไม่กี่นาทีทุกคนก็ออกมาจากรถได้หมด มีฟกช้ำดำเขียว เลือดตกยางออก ไปหลายคน แต่ที่แน่ๆนายตำรวจตายสนิท สิ่งที่เห็นดิ้นๆอยู่คือเชลล์หรือกล้ามเนื้อที่ไม่ยอมตายไปตามเจ้าของร่างกาย ผมเดินกลับมาดูที่ร่างนายตำรวจพร้อมกับเจ้าวีอีกครั้งเลือดกระจายนองเยอะกว่าเดิม และอุดจาดตายิ่งนักในขณะที่ผู้โดยสารที่ไม่เป็นอะไรมากบางคนแปลงร่างเป็นไทยมุงซะเอง ล้อมรอบศพ ผมไม่อยากให้ภาพแบบนี้อยู่ในสายตาของใครๆต่อใครนานผมเลยตัดสินใจเดินไปเอา โครงงานแบบแปลนบ้านซึ่งอาจารย์พึ่งตรวจเสร็จวันนี้ฉีกออกจากเล่มเป็นแผ่นๆ เอาไปคลุมศพไว้จนทั่ว
“เฮ้ยฟ้า มึงทำไร”
“มันไม่น่าดูว่ะ ปิดๆไว้ดีกว่า”
“เราไปกันดีกว่า เดี๋ยวตำรวจมา เราจะถูกกันตัวเป็นพยาน” ไอ้วีเดินมาใกล้ๆผมแล้วกระซิบผม
“อือ ปะปะ”
ผมเดินหลบฝูงชนที่มุงดูไปที่รถจักรยานที่จอดไว้ที่ศาลาปั่นกลับบ้าน ตามปกติ ผมกลับถึงบ้านไม่นานนักก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาทันที
“โอ้ยยย ไอ้ปร๋อ ตำรวจจราจรในตลาดหนะมันตายแล้วนะ มันโดนรถบัสชนตาย ศพกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร เลือดไหลเต็มถนนเลยหละ……………ฉอด…ด ฉอด….ด ด” เสียงตาสนคนในหมู่บ้านกำลังบรรยายอย่างออกรสให้เพื่อนบ้านฟัง ขณะที่บ้านผมก็ไม่ไกลจากบ้านตาสนหรอก ได้แต่อมยิ้มรำพึงในใจ
“ตาสนเอ้ยย”
รุ่งเช้าวันจันทร์ ผมก็ไปเรียนตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาประมาณ 10 โมงรถตำรวจก็ขับมาจอดที่หน้าห้องเรียน นายตำรวจสองคนเดินเข้ามาคุยกับครูประจำชั้นอยู่สักระยะ ตอนนั้นผมมองหน้าเจ้าวี ลึกลักๆ ว่าทำไงดี คุณครูเชิญตัวผมไปคุยด้วยพร้อมนายตำรวจอีกสองคน
“นี่เธอ เมื่อวันศุกร์ตอนเย็นเธอเห็นเหตุการณ์รถชนตำรวจไหม”
“ผมไม่เห็นเหตุการณ์ทังหมดครับ”
“ครูไม่ได้ว่าอะไรนี่ คุณตำรวจต้องการสอบปากคำเธอหน่อย” (ตายละ สอบปากคำ ฟังดูน่ากลัวๆ)
“คือผมอยู่กับทวี ในตอนนั้น ทวีอยู่ด้วยครับ” (ตอนนี้ผมก็เริ่มปอดแหก ต้องหาพวกไปด้วย)
“งั้นเธอไปบอกทวี ไปให้ปากคำกับคุณตำรวจด้วย”
ผมเดินเข้าห้องมา เพื่อนๆในห้องมองหน้าด้วยสีหน้าแปลกทั้งห้อง
“วีครูเฉลียว ให้แกไปกะกูว่ะ เดี๋ยวนี้ว่ะ” ผมเอามือป้องกระซิปข้างหูเจ้าวีเบาๆ
เจ้าวีไม่พูดอะไรพงกหน้าเดินตามผมออกมาแต่โดยดี ผมบอกทวีว่าตำรวจเชิญไปสอบปากคำที่โรงพัก ทวี ดูตื่นเต้นกว่าผมมาก เรานั่งรตำรวจออกนอกโรงเรียน สายตานักเรียนที่มองไม่มีใครยกย่องชมเชิญเลยสักคน เหมือนประหนึ่งว่าพวกผมไปทำผิดอะไรมาแหงๆ ถึงมีตำรวจมาเอาตัวไป แต่ทวีก็ไปกับผมที่โรงพักจนได้พอถึงโรงพักก็เจอคำถามเด็ดจากร้อยเวร
“ชื่ออะไรเราสองคน ไหนเขียนชื่อบนกระดาษสองแผ่นนี้ซิ”
ถึงไม่ฉลาดแต่ก็ไม่โง่ ผมเคยอ่านหนังสือว่าถ้าเราจะเขียนชื่อลงบนกระดาษป่าวโดยไม่มีเหตุผลอันควรไม่ควรกระทำอาจจะ เป็นการบังคับให้เซ็นสารภาพอะไรสักอย่างก็ได้(สงสัยดูหนังกลางแปลงเยอะไป) ผมเลยหยิบกระดาษคนละแผ่นกับเจ้าวี
“วีมึงเขียนตัวโต ชื่อนามสกุลเต็มหน้ากระดาษเลยนะ”
”ทำไมหล่ะ”
“เออน่ามึงไม่ต้องถาม ทำไป”
เจ้าวีเชื่อผมมันเขียนชื่อนามสกุล เต็มกระดาษ A4 แล้วมายื่นให้ร้อยเวร ซึ่งผมคิดว่าเป็นการวัดจิตวิทยาพฤติกรรมมากกว่าสนใจลายมือชื่อ และการเขียนตัวหนังสือใหญ่ๆทำให้มือไม่สั่นกรณีประหม่าหรือปอดแหกเช่นเจ้าวี หรือแม้กระทั่งผม แต่ไม่วายก็โดนคำถามเด็ดอีกจนได้
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นยังเรารู้หมดละ แต่ที่เราไม่รู้คือปืนของนายตำตรวจที่พบติดตัวหายไปไหน?”
“พวกนายสองคนได้เอาไปไหม?”
“ปล่าววว ครับไม่ได้เอาไป”
“แล้วเราหล่ะ” ร้อยเวรหันมาถามผม
“ผมป่าวครับ ไม่ได้เอาไปไม่รู้เรื่องปืนเลยครับ”
“อ้าวก็แบบบ้านเธอไม่ใช่รึ ที่คลุมศพอยู่หนะ”
“ครับ ผมเห็นศพไม่น่าดูเลยปิดๆไว้ อีกอย่างงานผมก็ส่งเสร็จละ” (ผมถึงบางอ้อ ทันที ทำไมตำรวจตามผมไปถึงห้องเรียนได้)
“ถ้าเอาไปเอามาคืนซะนะ อย่าคิดเอาไปมันเป็นของหลวงมีความผิดติดคุกนะ”
“ครับ บ” ผมประสานเสียงพร้อมกันกับเจ้าวี
ไม่นานจากนั้นตำรวจก็พบว่าปืนนั้นได้กระเด็นไปจากจุดเกิดเหตุไกลพอควร เรื่องปืนจึงยุติลงถัดจากวันที่ไปสถานีตำรวจเพียงสองวัน เจ้าวีก็ไปเข้าแถวหน้าเสาธงตามปกติ แต่ผมไม่ชอบเข้าแถวหน้าเสาธงเป็นประจำอยู่แล้ว มักจะปวดท้องหนัก หรือปวดท้องเบา ตอนที่เขาเคารพธงชาติตลอด เมื่อเพลงชาติจบก็จะเป็นประกาศทั่วไปของแต่ละวัน ขณะที่ผมกำลังอยู่ในห้องน้ำก็ได้ยินเสียงประกาศเสียงตามสายมาว่า
“ทางโรงเรียน ขอประกาศให้ทราบว่า ทางสถานีตำรวจภูธรประจำอำเภอ มีโหล่รางวัล ผู้ที่เป็นพลเมืองดี ช่วยเหลือคนที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ได้แก่…………. ขอเชิญทั้งคู่ออกรับโหล่รางวัลดังกล่าวนี้ด้วยครับ”
เสียงปรบมือดังสนั่นทั่วบริเวณโรงเรียนขณะที่ทวี ออกไปรับโล่รางวัล ส่วนผมก็นั่งปลื้มในห้องน้ำตามระเบียบ…นับจากวันนั้นเวลาเดินไปไหนมาให้ในโรงเรียน ทวีดูจะชูคอยาวตลอดเวลา ส่วนผมก็เป็นเพื่อนฮีโร่ เพราะมีไม่กี่คนที่รู้จักผมยกเว้นเพื่อนๆสนิทในห้องก็แค่นั้นเอง
คิดจะทำดีไม่ต้องสนว่าใครจะเห็นไม่เห็นสวรรค์มีตา