วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551

Accident Hero


เย็นวันหนึ่งหลังเลิกโรงเรียน ผมคว้าจักรยานคันเก่งปั่นกลับบ้านซึ่งห่างจากโรงเรียนราวๆ 10 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าธรรมดามา เพราะเพื่อนที่ปั่นมากับผมบ้านมันห่างจากโรงเรียนถึง 25 กิโลเมตร เพื่อนผมคนนี้ชื่อ ทวี วันนี้เป็นวันศุกร์ที่มีความสุขมากเพราะ เป็นวันที่ส่งโครงงาน ที่อาจารย์ให้ทำแบบแปลนบ้าน เสร็จอาจารย์ตรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราทั้งคู่ก็เลยต้องมีม้วนกระดาษเขียนแบบเหน็บรถจักรยานปั่นกลับบ้านด้วยกันทั้งคู่

วี มึงได้คะแนนดีไหม

แบบกูสกปรกไปหน่อย อาจารย์เขาตัดคะแนนกูแทบทุกแผ่นแหละ มึงหล่ะเป็นไงมั่ง

ก็ดีหน่อย เพราะกูชอบวิชาแบบนี้เป็นทุน แต่คณิตสิกูแย่ว่ะ

กูดันไปชอบภาษาไทยว่ะ วีตอบ (ผมไม่แปลกใจเลยเพราะตลอดเวลา เจ้าวีมันจะแอบเอาหนังสือ บางกอก มาอ่านเล่นบ่อยๆ วีถือว่าเป็นเพื่อนที่มีจะกินพอควรเมื่อเทียบกับผมที่แม้จะกินก็ไม่มี อย่าว่าแต่ซื้อหนังสืออ่านเลย

ขณะที่ผมกับวีปั่นรถออกจากกลุ่มนักเรียนที่บ้านอยู่ใกล้ๆโรงเรียน ก็เหลือผมกับวีสองคน ปั่นทอดน่อง ไปเรื่อยๆตามทางหลวง จนถึงโค้งที่บริเวณหน้าวัดหนองเรือคำ

ฟ้าๆ กูว่าหยุดพักเหนื่อยตรงศาลานี่ก่อนดีกว่า

อื้อได้ๆ ผมตอบเพราะไม่อยากขัดเพื่อนเพราะไม่ได้รีบร้อนไปไหนอยู่แล้ว แต่ที่อยากพักเพราะไม่เจ้าวีมันคงไม่อยากปั่นรถตากแดดร้อนๆช่วงเวลานั้นเป็นเวลาราวๆ สี่โมงครึ่งเห็นจะได้ ผมหันหลังให้ถนน เจ้าวีหันหน้าออกถนนนั่งคุยกันในเรื่องโครงงานที่อาจารย์ให้ทำแบบบ้าน

นี่วี มึงดูนี่ มึงว่าเอาห้องน้ำไปอยู่บ้านชั้นสองของบ้านไม้มันสมควรไหม มึงว่า กูโดนอาจารย์เขาเขียนเครื่องหมายคำถามไว้ ไม่รู้ว่าจะชม หรือตำหนิ ผมกางแบบออกให้เจ้าวีดู

กูว่าไม่ควรว่ะ มึงทำไปทำไม

อ้าว มึงเคยปวดอึ ตอนกลางคืนไหม ทำไมต้อง เดินจากชั้นบน ลงมาชั้นล่างให้เมื่อยตุ้มด้วยว่ะ นี่ไม่รวมกลัวผีอีกต่างหากนะ

กูไม่อึตอนกลางคืน ถ้าเยี่ยวกูก็ยืนโด่นอกชานนั่นแหละ

แต่กูว่าทำชั้นสองแบบนี้และดี ที่กูกลัวคือไม้ผุเพราะความชื้นมากกว่า

อื้อมึงเก่ง มึงดูแบบของกูนี่ ปากกาแดงเพียบ ไม่รู้จะบอกอะไร มีแต่เครื่องหมายคำถาม เจ้าวีคลี่แบบแปลนบ้านออกให้ผมดู เครื่องหมายคำถามสีแดงๆปรากฏ บนแบบบ้านไปทั่วแผ่น

เออๆ ชั่งเถอะว่ะ เราส่งแล้วนี่ อาจารย์ก็ตรวจละด้วย เราจะบ่นไปทำไม

ขณะที่ผมกับวีกำลังคุยกันอยู่นั้นรถบัสประจำทางสีส้มจุคนมาแน่นคันรถกำลังวิ่งเข้าโค้งมาพอดีรถบัสวิ่งมาด้วยความเร็วไม่สูงนักราวๆ 40-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่โค้งด้านใน ขณะเดียวกับก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสวมชุดครึ่งท่อนขี่รถมอเตอร์ไซต์สวนมาอีกทางหนึ่งแต่ ผิดปกติตรงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวกลับขับรถมอเตอร์ไซต์กินล้ำเส้นไปโค้งด้านในซึ่งมีรถบัสวิ่งอยู่ เสียงรถบัสประจำทางสีส้มชนปะทะรถมอเตอร์ไซต์ ดัง โครม! รถบัสซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วไม่มากนักเบรคอย่างสุดแรงเกิด เสียงล้อทับร่างเจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นดัง พลั๊ก ! พร้อมกับมอเตอร์ไซต์คู่กาย เสียงล้อหลังเสียดสีไปกับท้องถนนดัง เอี๊ยด..! ยาว พร้อมกับครูด ร่างนายตำรวจผู้โชคร้ายไปกับถนนด้วยล้อหลังที่กำลังเบรค แล้วรถบัสก็เสียหลักหัวพุ่งลงข้างถนน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลาที่ผมนั่งคุยกับเจ้าวี ไม่กี่เมตรนั่นเอง เหตุการณ์ทั้งหมดถูกบันทึก ด้วยความทรงจำผมและเจ้าวี โดยละเอียด ผมไม่เห็นตอนชนเพราะผมหันหลังแต่หลังชนผม หันหน้าขวับ! เห็นความเป็นไปทั้งหมด เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ทำเอาวีและผมตะลึงไปชั่วขณะ

วีๆ ไปดูตำรวจเร็วๆ ตายยังๆ

ไปๆ

ผมรีบวิ่งมายังนายตำรวจผู้โชคร้าย ซึ่งนอนอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์คู่กาย สภาพมอเตอร์ไซค์แบนแต๊ดแต๋ ส่วนสภาพนายตำรวจใต้เอวลงมาเละตุ้มเปะ ราวกับเอามือขยี้ซาลาเปา เลือดท่วมไปทั่วบริเวณ สภาพเนื้อสดๆเต้นตุ๊บๆ เพราะเชลล์ไม่ตาย ส่วนศีรษะของนายตำรวจเป็นรอยร้าว ตาเหลือกโพลง

ตายแล้วว่ะ ไปที่รถๆ ผมบอกกับเจ้าวีถึงภาพที่อยู่เบื้องหน้า ในขณะที่เจ้าวีสีหน้ายังตื่นๆอยู่

เออๆ ไปๆ

ผมและวีวิ่งไปที่รถบัสซึ่งเสียหลักพุ่งลงไปข้างถนนซึ่งเป็นคลองเล็ก มีน้ำสูงราวๆหนึ่งเศษๆเห็นจะได้ ด้านหน้าของรถพุ่งลงน้ำฉะนั้นมีประตูเดียวที่จะออกได้คือประตูหลังและหน้าต่าง ส่วนคนขับรถบัสเนื่องจากประตูอยู่สูงกว่าระดับน้ำสามารถเปิดออกด้านข้างได้หาย เข้ากลีบเมฆไปตามระเบียบ (ตามไปทำไมไม่รู้เห็นชอบตามกันจังระเบียบเนี่ย) เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ทหารเกณฑ์มักจะกลับถิ่นฐานบ้านเกิด สิ่งที่ผมเห็นเมื่อผมวิ่งไปยังประตูหลังของรถคือทหารคือผู้ที่พยายามปีนป่ายคนแก่ เด็ก ผู้หญิงออกมาก่อนใครๆ ผมกลัว และการเอาตัวรอด ไม่มีคำว่าสุภาพบุรุษกระนั้นหรือ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดตอนนั้น ยิ่งเขาอยู่ในชุดทหารด้วยแล้ว ผมพยายามเข้าไปเพื่อช่วยผู้ที่ช่วยตัวเองไม่ได้เพราะรถเบรคอาจจะได้รับบาดเจ็บเพราะแรงกระแทก แต่กลับถูกพลังหนีตายของคนแล้วคนเล่า แย่งออกประตูหลังของรถ

หลายคนลงมาจากรถจนทำให้รถโล่งขึ้น ผมจึงเข้าไปในตัวรถได้ คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หัวแตก เข่าแตก และเด็กคือผู้ที่ออกมาหลังสุด ซ้ำร้ายมีเสียงหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาจากภายนอกหน้าต่าง เป็นหญิงซึ่งยืนคอยอยู่ด้านล่างซึ่งพึ่งออกมาได้แล้วพูดขึ้นว่า หารองเท้าให้ฉันด้วยนะพ่อหนุ่ม มันฉันติดตีนฉันมาข้างเดียวนี่ พร้อมกับยกรองเท้าให้ดู ในขณะที่ผมกำลังช่วยเหลือคนอื่นๆที่ติดอยู่ในรถ ยังมีคนห่วงสมบัติคือรองเท้าอีกข้างของเขาอยู่ สิ่งที่ผมกลัวคงเหมือนๆกับที่หลายๆคนกลัวคือกลัวรถล้มตะแคงลงไปแช่น้ำ จึงรีบแย่งกันออกมา ในที่สุดไม่กี่นาทีทุกคนก็ออกมาจากรถได้หมด มีฟกช้ำดำเขียว เลือดตกยางออก ไปหลายคน แต่ที่แน่ๆนายตำรวจตายสนิท สิ่งที่เห็นดิ้นๆอยู่คือเชลล์หรือกล้ามเนื้อที่ไม่ยอมตายไปตามเจ้าของร่างกาย ผมเดินกลับมาดูที่ร่างนายตำรวจพร้อมกับเจ้าวีอีกครั้งเลือดกระจายนองเยอะกว่าเดิม และอุดจาดตายิ่งนักในขณะที่ผู้โดยสารที่ไม่เป็นอะไรมากบางคนแปลงร่างเป็นไทยมุงซะเอง ล้อมรอบศพ ผมไม่อยากให้ภาพแบบนี้อยู่ในสายตาของใครๆต่อใครนานผมเลยตัดสินใจเดินไปเอา โครงงานแบบแปลนบ้านซึ่งอาจารย์พึ่งตรวจเสร็จวันนี้ฉีกออกจากเล่มเป็นแผ่นๆ เอาไปคลุมศพไว้จนทั่ว

เฮ้ยฟ้า มึงทำไร

มันไม่น่าดูว่ะ ปิดๆไว้ดีกว่า

เราไปกันดีกว่า เดี๋ยวตำรวจมา เราจะถูกกันตัวเป็นพยาน ไอ้วีเดินมาใกล้ๆผมแล้วกระซิบผม

อือ ปะปะ

ผมเดินหลบฝูงชนที่มุงดูไปที่รถจักรยานที่จอดไว้ที่ศาลาปั่นกลับบ้าน ตามปกติ ผมกลับถึงบ้านไม่นานนักก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาทันที

โอ้ยยย ไอ้ปร๋อ ตำรวจจราจรในตลาดหนะมันตายแล้วนะ มันโดนรถบัสชนตาย ศพกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร เลือดไหลเต็มถนนเลยหละ……………ฉอด ฉอด….ด ด เสียงตาสนคนในหมู่บ้านกำลังบรรยายอย่างออกรสให้เพื่อนบ้านฟัง ขณะที่บ้านผมก็ไม่ไกลจากบ้านตาสนหรอก ได้แต่อมยิ้มรำพึงในใจ
ตาสนเอ้ยย

รุ่งเช้าวันจันทร์ ผมก็ไปเรียนตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาประมาณ 10 โมงรถตำรวจก็ขับมาจอดที่หน้าห้องเรียน นายตำรวจสองคนเดินเข้ามาคุยกับครูประจำชั้นอยู่สักระยะ ตอนนั้นผมมองหน้าเจ้าวี ลึกลักๆ ว่าทำไงดี คุณครูเชิญตัวผมไปคุยด้วยพร้อมนายตำรวจอีกสองคน

นี่เธอ เมื่อวันศุกร์ตอนเย็นเธอเห็นเหตุการณ์รถชนตำรวจไหม

ผมไม่เห็นเหตุการณ์ทังหมดครับ

ครูไม่ได้ว่าอะไรนี่ คุณตำรวจต้องการสอบปากคำเธอหน่อย (ตายละ สอบปากคำ ฟังดูน่ากลัวๆ)

คือผมอยู่กับทวี ในตอนนั้น ทวีอยู่ด้วยครับ(ตอนนี้ผมก็เริ่มปอดแหก ต้องหาพวกไปด้วย)

งั้นเธอไปบอกทวี ไปให้ปากคำกับคุณตำรวจด้วย

ผมเดินเข้าห้องมา เพื่อนๆในห้องมองหน้าด้วยสีหน้าแปลกทั้งห้อง

วีครูเฉลียว ให้แกไปกะกูว่ะ เดี๋ยวนี้ว่ะ ผมเอามือป้องกระซิปข้างหูเจ้าวีเบาๆ

เจ้าวีไม่พูดอะไรพงกหน้าเดินตามผมออกมาแต่โดยดี ผมบอกทวีว่าตำรวจเชิญไปสอบปากคำที่โรงพัก ทวี ดูตื่นเต้นกว่าผมมาก เรานั่งรตำรวจออกนอกโรงเรียน สายตานักเรียนที่มองไม่มีใครยกย่องชมเชิญเลยสักคน เหมือนประหนึ่งว่าพวกผมไปทำผิดอะไรมาแหงๆ ถึงมีตำรวจมาเอาตัวไป แต่ทวีก็ไปกับผมที่โรงพักจนได้พอถึงโรงพักก็เจอคำถามเด็ดจากร้อยเวร

ชื่ออะไรเราสองคน ไหนเขียนชื่อบนกระดาษสองแผ่นนี้ซิ

ถึงไม่ฉลาดแต่ก็ไม่โง่ ผมเคยอ่านหนังสือว่าถ้าเราจะเขียนชื่อลงบนกระดาษป่าวโดยไม่มีเหตุผลอันควรไม่ควรกระทำอาจจะ เป็นการบังคับให้เซ็นสารภาพอะไรสักอย่างก็ได้(สงสัยดูหนังกลางแปลงเยอะไป) ผมเลยหยิบกระดาษคนละแผ่นกับเจ้าวี

วีมึงเขียนตัวโต ชื่อนามสกุลเต็มหน้ากระดาษเลยนะ

ทำไมหล่ะ

เออน่ามึงไม่ต้องถาม ทำไป

เจ้าวีเชื่อผมมันเขียนชื่อนามสกุล เต็มกระดาษ A4 แล้วมายื่นให้ร้อยเวร ซึ่งผมคิดว่าเป็นการวัดจิตวิทยาพฤติกรรมมากกว่าสนใจลายมือชื่อ และการเขียนตัวหนังสือใหญ่ๆทำให้มือไม่สั่นกรณีประหม่าหรือปอดแหกเช่นเจ้าวี หรือแม้กระทั่งผม แต่ไม่วายก็โดนคำถามเด็ดอีกจนได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นยังเรารู้หมดละ แต่ที่เราไม่รู้คือปืนของนายตำตรวจที่พบติดตัวหายไปไหน?”

พวกนายสองคนได้เอาไปไหม?”

ปล่าววว ครับไม่ได้เอาไป

แล้วเราหล่ะร้อยเวรหันมาถามผม

ผมป่าวครับ ไม่ได้เอาไปไม่รู้เรื่องปืนเลยครับ

อ้าวก็แบบบ้านเธอไม่ใช่รึ ที่คลุมศพอยู่หนะ

ครับ ผมเห็นศพไม่น่าดูเลยปิดๆไว้ อีกอย่างงานผมก็ส่งเสร็จละ (ผมถึงบางอ้อ ทันที ทำไมตำรวจตามผมไปถึงห้องเรียนได้)

ถ้าเอาไปเอามาคืนซะนะ อย่าคิดเอาไปมันเป็นของหลวงมีความผิดติดคุกนะ

ครับ บ ผมประสานเสียงพร้อมกันกับเจ้าวี

ไม่นานจากนั้นตำรวจก็พบว่าปืนนั้นได้กระเด็นไปจากจุดเกิดเหตุไกลพอควร เรื่องปืนจึงยุติลงถัดจากวันที่ไปสถานีตำรวจเพียงสองวัน เจ้าวีก็ไปเข้าแถวหน้าเสาธงตามปกติ แต่ผมไม่ชอบเข้าแถวหน้าเสาธงเป็นประจำอยู่แล้ว มักจะปวดท้องหนัก หรือปวดท้องเบา ตอนที่เขาเคารพธงชาติตลอด เมื่อเพลงชาติจบก็จะเป็นประกาศทั่วไปของแต่ละวัน ขณะที่ผมกำลังอยู่ในห้องน้ำก็ได้ยินเสียงประกาศเสียงตามสายมาว่า

ทางโรงเรียน ขอประกาศให้ทราบว่า ทางสถานีตำรวจภูธรประจำอำเภอ มีโหล่รางวัล ผู้ที่เป็นพลเมืองดี ช่วยเหลือคนที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ได้แก่…………. ขอเชิญทั้งคู่ออกรับโหล่รางวัลดังกล่าวนี้ด้วยครับ

เสียงปรบมือดังสนั่นทั่วบริเวณโรงเรียนขณะที่ทวี ออกไปรับโล่รางวัล ส่วนผมก็นั่งปลื้มในห้องน้ำตามระเบียบนับจากวันนั้นเวลาเดินไปไหนมาให้ในโรงเรียน ทวีดูจะชูคอยาวตลอดเวลา ส่วนผมก็เป็นเพื่อนฮีโร่ เพราะมีไม่กี่คนที่รู้จักผมยกเว้นเพื่อนๆสนิทในห้องก็แค่นั้นเอง

คิดจะทำดีไม่ต้องสนว่าใครจะเห็นไม่เห็นสวรรค์มีตา




"สมทบ" เจ้าเพื่อนตัวแสบ


สมทบ ลูกผู้ใหญ่บ้าน บ้านโนนหนามแท่ง หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ในจังหวัดขอนแก่น เขาเกิดมาพ่อเขาก็เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว จนทุกวันนี้เขาอยู่ ม.3 พ่อเขาก็ยังเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ ฉะนั้นไม่ต้องคิดเลยว่า พ่อของสมทบกว้างขวางสุดๆ ทรงอิทธิพลสุดๆเช่นกัน สมทบเอง เป็นลูกชายคนเดียว สมทบ ถูกเลี้ยงดูอย่างราชา เขาถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ มาแต่เด็กๆ อยากได้อะไรได้หมด เรื่องความทะนงตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะพ่อเขาใหญ่ที่สุด แม้มีปัญหากับคนต่างหมู่บ้าน แค่รู้ว่าลูกชายผู้ใหญ่บ้าน บ้านโนนหนามแท่ง ก็ไม่มีใครอยากยุ่งแล้ว เขามั่นใจสุดๆว่าไม่มีใครใหญ่กว่าเขาอีกแล้ว ในย่านนี้ บัดนี้ สมทบ เรียนจบชั้น ม.3 แล้ว เป็นระดับชั้นเรียนสูงสุด ที่พึงจะมีในละแวกหมู่บ้าน มีเรียนแค่ระดับชั้น ม.3 เท่านั้น วันนี้สมทบ ผู้ทรงอำนาจของพ่อคุ้มหัว เขาต้องออกจากถิ่น เพื่อมาเรียนหนังสือในตัวอำเภอ และเขาก็ดันมาอยู่ในห้องเรียนเดียวกับผมซะด้วย เรื่องเพื่อนเจ้าพ่อเลยเกิดขึ้น

“เฮ้ยเพื่อน วันนี้กูลืมเอาดาบมาว่ะ เดี๋ยวกูเอาดาบมึงไปเรียนนะ” สมทบ ตบไหล่ผมเบา แล้วพูดกับผม วันนี้เป็นวิชา กระบี่กระบอง ลูกเจ้าพ่ออย่างสมทบ พูดกับผมนิ่มๆ
“เอ๋า แล้วกูจะเอาไหน ไปเรียนหล่ะ” ผมตอบถามเหตุผล
“เออน่าาา มึงไปเรียนทุกอาทิตย์แล้ว อาทิตย์นี้มึงขาดสัดครั้งเป็นไร เอามาๆ” สมทบ พูดให้เหตุผล ซึ่งผมก็คิดว่าพอรับได้ เพราะสมทบ ไม่ค่อยเข้าเรียนวิชานี้ ถ้าเขาขาดอีก เขาอาจจะต้องหมดสิทธิ์สอบไปเลยก็ได้
“เออๆ กูเข้าใจ นี่เอาไป” ผมยื่นกระบี่หวายให้สมทบ (ผมเองก็เกรงๆสมทบอยู่พอควร)
“กูไปละ เดี๋ยวครูขานชื่อ กูจะไปไม่ทัน” สมทบพูดก่อนกลับหลังหันวิ่งไปทางสนาม วิ่งไปได้ไม่ถึง 10 เมตรเขาก็วิ่งกลับมาหาผมอีก
“แล้วมึง จะนั่งทำไรอยู่ตรงนี้…เล้า! โน่นที่เดิมๆ” สมทบชี้มือ บอกผมให้ไปหลบที่จุดหลบ หลังโรงเรียน

สมทบตัวดี พาเพื่อนๆไปหนีเรียน ไปนอนเล่น หรือแอบไปสูบบุหรีกันที่ตรงนั้นบ่อยๆ ผมก็ไปบ้างในบางวิชาที่ผมไม่ค่อยกินเส้นกัน ครูผู้เรียน บางวิชา…เช่น คณิตศาสตร์ จริงๆ ผมชอบคณิตศาสตร์ แต่ผมไม่ชอบวิชาการสอนของครู มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากครู แล้วมีเลข 2 เศษเกิดขึ้น ผมไม่เข้าใจว่าเศษ 2 ตัวนั้นมาจากไหน ผมเลยถามครูว่า “ครูครับ 2 นั่นมาจากไหน?” ผมเข้าใจว่าครูคงเหนื่อยหน่ายกับห้องผมเต็มที คือห้องเรียนที่ผมเรียนเป็นห้องบ๊วย ม.3 มี 12 ห้อง ผมอยู่ในห้องที่ 12 ยุคนั้นห้อง 1 คือห้องคิง ห้อง 2 ห้องควีน เรียงไปตามความโง่ความฉลาดของนักเรียนผมอยู่ห้อง 12 ซึ่งเป็นห้องท้ายสุด ลองนึกดูละกัน ถ้ามีห้องที่ 20 ผมคงตกอยู่ในห้องที่ 20 แหละ..(ใครคิดหลักสูตรนี้ เอาไปฝังซะ) ครูคนดังกล่าวตอบคำถามผมว่า
“อ๋อ 2 นั้นเหรอ ผมไปซื้อมาจากตลาด” คำพูดนี้ ทำให้ผมไม่พูดกับครูคนนั้นต่อเลย เรียนก็ไปนั่งทำตัวทื่อไปงั้นแหละ ไม่สนใจด้วย อยากรู้อะไรก็อ่านเองดีกว่า…ในที่สุดผมก็ผ่านวิชานี้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด
(สงสัยเขาถีบส่งผม)

กลับมาที่เรื่องเดิมเดี๋ยวเตลิดเปิดเปิง วันนี้เป็นวันที่สมทบเจอดี เพราะความซ่าส์ของเขาเอง หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ นักเรียนหญิงมักไปยืน ออ กันที่ระเบียงของตึกหน้าห้องเรียน แล้วกลุ่มเพื่อนผมก็เดินไปตามชั้นต่างๆ แล้วพูด จ๊อกแจ๊ะ ไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลาก่อนเข้าห้องเรียนในตอนบ่าย ถือว่าเป็นการย่อยอาหาร อะไรเทือกนั้น แล้วกลุ่มเพื่อนต้องมาหยุดตรง สาวแหม่ม สาวนักเรียนเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งหน้าตาดีที่สุด

“พวกมึงรู้ไหมว่า วันนี้อีแหม่ม ใส่ กกน. สีอะไร” สมทบพูดในวงเพื่อนในกลุ่มที่ไปไหนไปกันเสมอๆ หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ
“แล้วกูจะรู้ไหม…เนี่ย” เบิ้มเพื่อนอีกคน พูดขึ้นมาแบบไม่ค่อยเข้าใจ สมทบ เท่าไหร่ว่าจะรู้ได้ไง
“แต่กูอยากรู้ กูต้องได้รู้ ว่ะ มึงคอยดูกู” สมทบพูดโว กับเพื่อนๆ แล้วสมทบเอาเศษกระจก แทรกไว้ที่เชือกผูกรองเท้า ก่อนเดินเข้าไปในกลุ่มนักเรียนผู้หญิง แล้วยื่นขาขวาที่ติดกระจก ไปยังใต้กระโปรง ของ เพื่อนนักเรียนหญิงแหม่ม เพื่อจะดูภาพ ที่สะท้อนกระจก มาจากใต้กระโปรง
”อิอิ…อิ.” สมทบหัวเราะแบบเบาๆ เอามือปิดปาก หันหน้า มาทางพวกผม แล้วทำปากขมุม ขมิม แต่พวกเพื่อนทุกคนตีความหมายออกหมด ว่าสิ่งที่ สมทบพูดคือคำว่า “ชมพู” ขนาดยืนอยู่เบื้องหลังราวๆ เมตรกว่าๆ
(แต่ไม่เห็นกระจกหรอก) แล้วสาวแหม่มก็อดแปลกใจไม่ได้ทำไม พวกผมถึงมาออกันใกล้ๆหล่อน โดยเฉพาะเจ้าสมทบ มาอยู่ใกล้มากเป็นพิเศษ จนจับผิดสมทบได้เพราะสมทบถอยขาออกมาเร็ว ทำให้กระจกหล่นลงพื้น
เสียงดัง “แกร๊ง..ง”
“ไอ้สมทบ บ้าาา…า คอยดูนะ ฉันจะไปฟ้องครู..”
แหม่มหันหน้ากลับมามองลงกระจกก่อนพูดเสียงดัง แล้วเอามือผลักสมทบ กระเด็นมาทางกลุ่มผมที่ยืนอยู่ ซึ่งทางเพื่อนรับตัวสมทบที่เซมาแทบไม่ทัน
“เออ มึงแน่จริง มึงก็ไปซิ” สมทบลุกขึ้นแล้วพูดกับแหม่ม ส่วนพวกผมทำหน้าจ๋อยๆแล้วตอนนั้น
ขณะแหม่ม ชวนเพื่อนผู้หญิงเดินจากไป

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมทบ ทำแบบนี้ แต่นักเรียนผู้หญิงไม่กล้าไปฟ้องครู ด้วยเหตุผลใดก็ไม่แน่ใจ แต่คาดว่าไม่มีใครอยากมีเรื่องกับสมทบ สักเท่าไหร่ แต่วันนี้ สมทบเจอแหม่มเอาจริง แหม่มไปฟ้องครูประจำชั้น ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงเวลาเรียนตอนช่วงบ่าบ ทีมผมก็เข้าห้องเรียนช้าเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ อยู่แล้ว วันนี้ ครูสายใจซึ่งเป็นครูประจำชั้น สอนชั่วโมงแรกตอนบ่ายซะด้วย..

“นายสมทบ และเพื่อนๆทั้งหมดแหละ กลับมานี่ก่อน” ครูสายใจเรียก สมทบซึ่งเดินนำหน้า และเพื่อนๆเดินตาม
จะไปนั่งโต๊ะแต่ถูกเรียกกลับออกมา ยืนแถวหน้ากระดานหน้าห้อง โดยมีสมทบหัวแถว
“นายสมทบ ไหนบอกครูมาซิ ว่าเธอเอากระจกไปส่องดูใต้กระโปรงเพื่อนหญิงจริงหรือไม่” ครูสายใจพูดเสียงแหลม..
“ผมไม่ได้ทำครับ” สมทบตอบเสียงแข็ง
“ก็สมร เขาบอกครูว่าเธอเอากระจกไปส่องใต้กระโปรงเขาหนิ เขาเห็นกระจกนั้นด้วย” ครูอ้างแหม่ม ว่าแหม่มมีหลักฐานคือกระจกที่แหม่มเห็นหล่น
“กระจกผมหล่น ผมเลยก้มหยิบ ครับ ไม่เชื่อถามเพื่อนๆผมที่ยืนอยู่ด้วยกันได้” สมทบอ้างเพื่อนๆที่ไปด้วยกัน
เอาหละสิ ลากเพื่อนๆเข้าไปซวยด้วยไหมหละ สมทบ.!
“จริงไหม สมศักดิ์ ไหนตอบซิ” ครูสายใจ หันหน้าไปถามเพื่อนในกลุ่มชื่อสมศักดิ์
“เอ่อ..ครับ สมทบเขาทำกระจกหล่นแล้ว ก็ก้มลงเก็บแค่นั้นเอง แล้วพอดีกับสมรหันหลังกลับมาพอดี สมทบคงไม่มีเจตนาไปแอบดูใต้กระโปรงใครหรอกครับ” สมศักดิ์กลับลำ ช่วยเพื่อนเต็มที่..
“ครูรู้กิตติศัพท์พวกเธอมานานละ อย่าให้จับได้นะครูหวดไม่ยั้งแน่” ครูสายใจใช้สีหน้าแววตา น้ำเสียง ข่มขู่
“ครับ..” ทุกคนพูดตอบพร้อมผงกหัวค้อมตัว
“คราวนี้ครู จะลงโทษ พวกเธอหนึ่ง 1 ทีละกัน กอดอก.!” ครูสายใจสั่ง ให้ทุกคนกอดอก เดินเรียงหน้ามาแล้วหันหลังให้หวดด้วยไม้เรียวคนละที
“ผมบอกว่า ผมไม่ได้ทำ ครูยังลงโทษเหรอ ครับ” สมทบพูดถึงเหตุผล ที่เขาไม่สมควรโดนหวดก้น..
“ฉันไม่ได้ ลงโทษเธอเพราะ เรื่องนั้น ฉันลงโทษเธอเพราะพวกเธอ เข้าห้องเรียนช้า” ครูสายใจตอบ
“ครับ ครับ” สมทบรับคำ แบบเสียไม่ได้ ก่อนโดนหวดคนแรก (รู้สึกครูสายใจหวดสมทบหนักกว่าเพื่อน) แล้วเพื่อนๆก็เรียงคิวกันไปโดยไม้แส้ ของครูสายใจ กันทีละคนๆ) ในขณะที่เพื่อนคนอื่น นิ่งสนิท ไม่มีใครอยากมองหน้าสมทบสักเท่าไหร่ ยกเว้น แหม่ม ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง อยู่ในใจ ชั่วโมงเรียนวันนี้เป็นวิชาที่ว่าด้วยการสืบพันธุ์ ครูสายใจสั่งให้นักเรียนชายกลุ่มสมทบ ไปรีดน้ำเชื้อตัวเองมา แล้วสมทบตัวโจก ก็พาพวกเราไปห้องน้ำ

"เฮ้ย..ของมึงได้ยังว่ะ" สมทบตะโกนข้ามห้องน้ำมา ถึงเพื่อนแต่ละคน

"ไม่มีอะไร เร้าใจว่ะ มันจะไปถึงดวงดาวได้ไงว่ะ" เพื่อนคนหนึงตอบมาจากอีกห้อง

"เออ..อ กูกำลัง จะได้" เสียงสมศักดิ์พูดมาแบบใจสั่นเล็กน้อย

"ทีพวกผู้หญิง ทำไมไม่ให้พวกมันมารีดไข่ว่ะ กูอยากรู้มันเป็นยังไง" สมทบพูดขึ้น

ในที่สุดสมศักดิ์ก็เอา อสุจิเขี่ยใส่ถาดแก้ว (จากผนังห้องน้ำ 555) ออกมาจากห้องน้ำ แล้วมาที่ห้องเรียนพวกเพื่อนๆผู้หญิง ทำทีท่าขยะแขยงกันใหญ่ แต่ก็โดนคุณครูให้ส่องกล้องดูสเปริมร์ จนได้

เป็นที่สนุกสนาน..แต่พวกเราไม่บอกครูว่าของใครกันแน่ เดี๋ยวโดนล้อ..

ไม่รู้หัวใจของสมทบทำด้วยอะไร อาทิตย์ถัดมา เขาก็คิดการใหญ่กว่าเดิม
“พวกมึงคอยดูนะ..กูจะดูว่าวันนี้ครูสายใจ ใส่ กกน สีอะไร” สมทบพูด ก่อนเข้าเรียนช่วงบ่าย ในวันเดียวกับที่พวกเราโดนหวด เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว..
“เฮ้ยมึงจะบ้ารึ อาจารย์นะมึง” สมศักดิ์พูดขึ้นด้วยความตกใจความคิดของสมทบ
“เออมึงคอยดูละกัน” สมทบตอบ ทำทุกคนอึ้งไปตามๆกัน

หลังจากนั้นพวกเพื่อนๆก็เข้าเรียนตามปกติ แต่ผิดปกติอยู่อย่างคือ สมทบของแลกที่นั่งกับเพื่อนคนหนึงอยู่หน้าชั้นสุดของห้องเรียน แต่ครูสายใจก็ไม่ สงสัยถาม (คิดว่าสงสัยแต่ไม่อยากถามมากกว่า) ครูสายใจ มักมีสไตส์การสอนอยู่แบบคือ พอเขียนชอล์กบนกระดานครูสายใจจะเขียนๆ ๆ โดยที่ไม่หันมามองนักเรียน ว่านักเรียนทำอะไร บ้างกินขนม บ้างคุย สมทบก็เช่นกัน แต่สมทบวันนี้มาแปลก หันหน้ามาทางพวกผม แล้วยกมือขึ้นเป็นเครื่องหมายโอเค (ผมตีความว่า “พวกมึงดูกู กูพร้อมแสดงแล้ว” จากนั้น สมทบก็ทำอย่างที่สมทบบอกจริงๆ เล่นเอาพวพเพื่อนๆ อ้างปากค้าง ถึงความบ้าของเขา สมทบก็เอากระจก เหน็บเข้ากัยเชือกผูกรองเท้า แล้วเบี่ยงตัวออกจากโต๊ะเรียนก้าวออกไปหลังครูสายใจ แล้วสอดเท้าเข้าไป หมายจะดูเงาสะท้อนใต้กระโปรงครูสายใจ
โชคดีไม่เข้าข้างคนอย่างสมทบ เสมอไป..ครูสายใจเหลือบเห็นกระจก ของสมทบที่อยู่บริเวณเท้าของตัวเอง..

“นายสมทบ..!” ครูสายใจพูดเสียงสั่น หน้าแดงเพราะโกรธจัด.
“ทำไมเธอเลว แบบนี้” ครูสายใจ พูดพร้อมกับขว้างชอล์ก ที่กำลังเขียนอยู่ในมือ ใส่หัวสมทบทันที ชอล์ก กระเด็น
“ตามฉันมานี่” ครูสายใจหยิกหู สมทบดึงออกผ่านประตูห้องเรียนออกไป ก่อนเสียงเพื่อนๆนักเรียนในห้องดัง
อื้ออึง ไปทั่ว จับใจความได้ประมาณว่า สมน้ำหน้าสมทบซะส่วนใหญ่ ครูสายใจพาสมทบไปหาครูปกครองผู้ชายให้ทำ ทัณบน และอบรม สรุปวันนั้นวิชานี้ ไม่ได้เรียน และบรรยายกาศวันนั้น ก็ไม่ค่อยสบายใจทั้งวันเหมือนกับชีวิตขาดรสชาด ไปยังไงบอกไม่ถูก แล้วสมทบก็เดินกลับมาในห้อง สีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แต่สมทบไม่อยากพูดอะไร เพื่อนๆเลยไม่ได้ซักถามในตอนนั้น แต่เวลาผ่านไประยะหนึ่ง สมทบก็พูดกับเพื่อนในทีมว่า

“อาจารย์วิโรจน์ แ_งมันตีกู 5 ครั้งแล้วมันเชิญพ่อ กูมาพบที่โรงเรียนพรุ่งนี้ว่ะ” สมทบพูดแบบระบายอารมณ์กับเพื่อนๆ ในกลุ่ม แบบหัวเสียสุดๆ พวกเราได้แต่ปลอบใจ
“เออมึง อย่าคิดมากน่า คงไม่มีอะไรมากหรอกน่า” สมศักดิ์เพื่อนซี้สมทบ ปลอบ

วันถัดมา พ่อสมทบ มาที่โรงเรียนแล้วพาสมทบ เข้าไปพบครูปกครองตามคำเชิญ วันนั้นสมทบบอกว่าเป็นวันแรกที่พ่อสมทบ ด่า สมทบต่อหน้าบุคคลอื่น ทำให้สมทบโกรธ (พาลมากกว่า) แต่ก็เก็บไว้ในใจ ในที่สุดครูก็ขอให้พ่อสมทบอารมณ์สมทบให้มี จริยธรรม มากว่านี้ ส่วนสมทบโดนลงทัณบนไว้ก่อน

ตกเย็นวันนั้น ผมไม่เห็นสมทบมานั่งเรียนด้วย จนรุ่งเช้าสมทบก็ไม่เข้ามาเรียนด้วย แล้วครูสายใจก็เข้ามาในห้องเล่าให้ฟังว่า

“เย็นเมื่อวานที่สมทบโดยเชิญตัวผู้ปกครองมาพบ พอตกเย็น สมทบดักเอาไม้หน้าสาม ฟาดเข้าบริเวณใบหน้าของ อาจารย์วิโรจน์ (อ.ปกครอง) ขณะอาจารย์วิโรจน์ขับมอเตอร์ไซต์กลับบ้าน ต่อหน้านักเรียนเป็นร้อย ที่กำลังทยอย กลับบ้านในตอนเย็น ตอนนี้อาจารย์วิโรจน์นอนอยู่โรงพยาบาล โชคดีแค่ดั้งหัก ไม่กระทบกระเทือนสมอง ส่วนเพื่อนเธอ ครูไม่รู้เขาอยู่ไหนตอนนี้ ปล่อยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไป”

พอพูดจบนักเพื่อนนักเรียนทุกคน ต่างตกใจต่อสิ่งที่สมทบกระทำ พากันวิจารณ์สนั่น ทั่วโรงเรียน ไม่นานต่อจากนั้นก็เห็นอาจารย์ปกครองคนดังกล่าว หน้าเหมือนใส่หน้ากา โซโล แต่เป็นสีขาวของผ้าก๊อตบริเวณใบหน้าเด่นชัด
มันบอกถึงความรุนแรงของสมทบ ที่ระบายออกผ่านท่อนไม้ มายังใบหน้านี้….”โธ่เพื่อนเอ้ย ไม่น่าเลยมึง” ผมบ่นเอง นับแต่วันนั้นที่ครูสายใจเล่าผมก็ไม่ได้เจอ สมทบอีกเลย ข่าวว่าลาออกจาก โรงเรียนไปใช้ชีวิต ลูกผู้ใหญ่บ้านเต็มตัวเหมือนเดิมไม่เรียนต่อแต่อย่างใด….หรือไม่คงไปตายเพราะใครเข้าสักวันเป็นแน่แท้..ทีเดียวเชียว

ปล. คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลยังขลังอยู่เสมอ


โฉมหน้าคนร้าย..!


จะบอกว่า - วาดทำไม - ก็ใช่ที่

อาจะมี - ที่ดีดี - มากกว่าขำ

ก็ตำรวจ - เขาคิดแล้ว - เขาคิดอีก - เขาถึงทำ

แม้มืดดำ - หากช่วยคลำ - ตำรู้เอง(ตำรวจ) ...ก๊าาาาก..!



ชีวิตสีเผือก(นิทานดัดแปลง)


สีเผือกตัวหนึ่งเดิน เลาะเล็ม หญ้าไปตามชายทุ่ง แต่หารู้ไม่ว่าบริเวณนั้นเป็นบ่อน้ำเก่า สีเผือกตัวนั้นก็ผลัดตกลงไปในบ่อน้ำเก่าที่แห้งสนิท สีเผือกเดินหน้าถอยหลังแทบไม่ได้เพราะบ่อน้ำมันแทบจะพอดีตัวสีเผือกได้แต่เดินหมุนๆรอบตัวเอง


“ช่วยด้วย….ย มีใครอยู่แถวนี้มั่ง ช่วยด้วยๆ” สีเผือกร้องตะโกน มาจากก้นบ่อ ด้วยความหวัง
“เอ้า….เอ้า ท่านจะตะโกนไปทำไมเนี่ย หนวกหู ข้าก็ตกอยู่นี่เหมือนกัน ข้าตะโกนไปนานหลายเดือนละ ไม่เห็นมีใครมาช่วย ข้าเลยหยุดตะโกนละ”
คางคกหนุ่มซึ่งตกลงไปก่อนหน้าที่พูดขึ้น
“เฮ้ย…แล้วท่านจะเดินวนทำไมหล่ะ ท่านจะเหยียบข้า เข้าแล้วว” คางคกหนุ่มพูดพลาง เต้นหลบเท้าสีเผือกไปพลาง
“นี่ข้าจะแนะนำท่านนะ ถ้าท่านตะโกนอย่างเดียว แล้วท่านหยุดดิ้น หยุดเดินวน ท่านจะตะโกนได้นานขึ้น และถ้าท่าน หยุดตะโกน และหยุดดิ้น ท่านจะมีชีวิตที่ยาวขึ้นนะ ข้าว่า” คางคกแนะนำแล้วไม่วายที่จะ กระโดดหลบเท้าสีเผือกตัวนั้นไปด้วย
“ข้าจะตายเพราะ เท้าท่านนี่แหละ ไม่ได้ตายเพราะตกลงมาในนี้” คางคกหนุ่มตัดพ้อ
“ตอนแรกๆ ข้าก็เหมือนท่านนี่แหละ ตกลงมาข้าง ก็ร้อง ก็เต้น” แล้วข้าก็เหนื่อย ร้องเหนื่อยเต้น ตลอดนี้ข้าคิดอย่างเดียวว่า
เมื่อไหร่ฤดูฝนจะมาถึงซะที ข้าจะได้ลอยขึ้นข้างบนปากหลุมได้
“ก็ข้า เป็นควาย ไม่ใช่คางคกแบบเองนี่หว่า ที่จะนอนหงายท้อง อ้าปากกินนำค้างได้ แล้วไม่ตาย ข้าต้องกินหญ้า กินหญ้า เพื่ออยู่รอด หรือจะให้ข้ากินคางคกแทนหญ้าดี” สีเผือกอธิบายเหตุผลพร้อมกับ ร้องให้ช่วย และเต้นรอบๆตัวเองต่อไป ไม่นานนัก ก็มีชาวบ้านแถวนั้นผ่านมาได้ยินเสียงสีเผือกเข้า จึงนำเรื่องไปบอกเพื่อนบ้าน

“ตาสอน ตาสอน ข้าไม่แน่ใจว่าสีเผือก ควายเองหรือป่าว มันตกบ่อที่ท้ายนาโน่นแหนะ” เพื่อนบ้านตาสอนรุดมายังบอกข่าวร้าย
“ขอบใจมากตาอิน เดี๋ยวข้าจะไปดูมันเอง” ตาสอนตอบเพื่อนบ้านแบบไม่ค่อยแยแส เท่าไหร่
“รีบๆ หน่อยละกันเดี๋ยวมันตาย มันน่าจะตกมานานละ” ตาอินบอกตาสอนด้วยความเป็นห่วง สีเผือก
“อือน่า ข้าจะไปจัดการเอง ขอบใจมากที่มาบอกฉัน” ตาสอนรับคำเพื่อนบ้าน

เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง สีเผือกแหงนคอขึ้นปากบ่อ ก็ไร้วี่แววใครจะมาช่วยสีเผือก แต่ไม่นานจากที่ไร้วี่แวว

“เฮ้…เจ้าคางคกๆ เจ้านายข้ามาช่วยแล้ววว” สีเผือกพูดกับคางคกหนุ่ม พร้อมับยิ้มฟันขาวทั้งเหงือกด้วยความดีใจ
“ข้าก็เคย มีคนมาส่องดูปากบ่อแบบนี้ บ่อยครั้งละ ไม่เห็นมีใครช่วยข้าสักที คงเพราะข้าเป็นคางคก ละมั้ง ถ้าข้าเป็นกบ อาจจะได้ขึ้นไปนานละ แต่ข้าก็ดีใจที่เป็นคางคก เพราะเป็นกบเขาคงจับขึ้นไปทำอาหารกิน ไม่ปล่อยข้างหรอก” คางคกพูดด้วยเสียงไม่แยแส คำพูดสีเผือกสักเท่าไหร่
“ข้ารู้จักเจ้านายข้าดี ข้าอยู่กับเจ้านายข้ามาแต่เกิด จนแก่ปูนนี้ ข้าทำไร่ ไถนาให้เจ้านายข้ามา หลายปีดีดักแล้ว เจ้านายข้าใจดี ” พูดถึงสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่มีต่อ
ตาสอนผู้เป็นนายให้คางคกหนุ่มฟัง
“เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าขึ้นไปด้วย เจ้าคางคก ปีนขึ้นมาบนกระดิ่งคล้องข้าสิ” สีเผือกเอ่ยขึ้นด้วยความมีน้ำใจ
“ข้าต้องขอบใจท่านมากเลย ข้าได้ยินคนเขาพูดว่า เจ้าลาโล่ ควายโง่ แต่ข้ากลับรับรู้วันนี้ว่า ท่านยังมีน้ำใจประเสริฐด้วย ขอบคุณจริง ไว้ขึ้นไปปากหลุมแล้ว ข้าจะพาท่านไปที่หญ้าอ่อนเขียวๆริมบึงฝากโน้นนะ” คางคกพูดตอบสีเผือกด้วยซึ้งในน้ำใจ ปีนขึ้นบนกระดิ่ง
“นั่นๆ เจ้าคางคก เจ้านายข้าเอาเครื่องมือมา ช่วยข้าแล้ว” สีเผือกพูดกับคางคกหนุ่ม ขณะเงยหน้าขึ้นปากหลุม มองเจ้านายด้วยความหวัง

ทันใดนั้นเศษดินก็ถูกสาดจากพลั่วของตาสอนผู้อยู่ปากหลุม ลงมาเบื้องล่าง
“สีเผือกเอ้ย.! เองหนะแก่แล้ว เรี่ยวแรงที่จะ ทำไร่ไถนาเองก็ไม่มีเหมือนเดิมแล้ว ถึงแม้ข้าช่วยเจ้าขึ้นมา ข้าจะขายเจ้าทิ้งให้โรงฆ่าสัตว์ ได้กี่บาทเชียว ผอมโซแบบนี้ และบ่อร้างนี่มานานข้าก็จะกลบอยู่พอดี มันไม่คุ้มค่า ที่ข้าจะต้องไปจ้างวานใครมายกแกขึ้นมาหรอก ข้าขอโทษนะ ไปสู่ที่ชอบๆเถอะ สีเผือกเอ้ย…ย” ตาสอนพูดพร่ำไปแล้วก็สาดดินรอบๆปากบ่อลงไปพลาง
“เอ่อ.อ…นายท่าน” สีเผือกได้ยินคำพูดเจ้านายจากปากบ่อ คอตก ทำตัวเป็นควายเศร้าชั่วขณะ (นึกออกไหมเนี่ย)
“โถ..คนหนอคน พอไร้ค่า ก็เป็นแบบนี้” คางคงหนุ่มก็รู้ชะตากรรมของตัวเอง ตกอยู่ในสถานะเดียวกับสีเผือก
“เจ้าคางคก! เจ้าอยู่ไหนๆ ปีนขึ้นไปตรงหลังข้าเดี๋ยวนี้” สีเผือกร้องเรียกคางคกหนุ่ม
“เจ้าจะให้ข้าปีนขึ้นไปทำไมกัน เดี๋ยวก็ตายละ นอนตายให้สบายๆอยู่คอท่านนี่แหละดีแล้ว ทำไมต้องให้ข้าปีนขึ้นไปเหนื่อยตายด้วย” คางคกพูดด้วยหมดอาลัยตายอยาก
“อะน่า ข้าบอกให้ทำก็ทำสิ เราจะขึ้นไปปากบ่อกัน” สีเผือกให้คางคกหนุ่มรีบทำตามที่บอก ทั้งๆที่ไม่เข้าใจเจตนา

แล้วคางคกหนุ่มก็ปีนขึ้นไปตามคำสั่งของสีเผือก ทุกครั้งที่ตาสอนจับพลั่วสาดดินจากลงปากบ่อ โดนหลังสีเผือก สีเผือกก็จะเอาหางปัดดินออกจากหลัง และสะบัดหัวให้ดินออกจากตัว
“เจ้าคางคกๆ ช่วยข้าปัดดินออกจากหลังให้ข้าหน่อยเร็วเข้าๆ” สีเผือกเร่งคางคกหนุ่มให้ทำตาม

ในที่สุดสีเผือก ก็ขึ้นมาถึงปากบ่อ แบบเหนื่อยล้า

“เจ้าข้าให้แน่นๆ เจ้าคางคก” สีเผือกบอกคางคกหนุ่มก่อนตัดเสียใจกระโดดสุดฤทธิ์ เพื่อขึ้นจากปากบ่อ
“เย้….เรารอดแล้ววว” เจ้าคางคกเปล่งเสียงออกมาด้วยความดีใจ ก่อนกระโดดลงจากคอของสีเผือก
“ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะ เจ้าคางคก เจ้าเป็นอิสระแล้ว กลับไปหาพรรคพวกของท่านเถอะ” สีเผือกเอ่ย
“แล้วท่านหล่ะ” คางคกหนุ่มถามสีเผือก
“ข้าเป็นควายของตาสอน ข้าต้องอยู่กับตาสอน เจ้าไปเถอะ” สีเผือกตอบ
“แต่เมื่อกี้ เขาจะฆ่าพวกเรานะ” คางคกหนุ่มเอ่ย
“ไม่ต้องห่วงข้า เจ้าไปเถอะนะ โชคดี มีโอกาสข้าจะไปกินหญ้าริมบึงฝากโน้น” สีเผือกตอบ
“งั้นข้าไปละ ไว้เจอกันนะ ข้าจะไม่ลืมพระคุณท่านครั้งนี้เลยที่ช่วยชีวิตข้าไว้” คางคกบอกลาแล้วจากไป

ตาสอนกลบบ่อเต็มแล้วก็ เดินมาจับสะพาย ที่จมูกของสีเผือก เดินกลับบ้านไป แล้วไม่นานจากนั้นตาสอนก็ขาย
สีเผือกให้กับโรงฆ่าสัตว์ในราคาที่แสนถูก…เจ้าคางคกก็คงตั้งตารอคอยผู้มีพระคุณของมันมาเลาะเล็ม หญ้าเขียวๆรอบบริเวณอาณาจักรของมัน และมันก็รู้ข่าวในที่สุดว่า เจ้าสีเผือกได้จากไปแบบไม่มีวันกลับ เจ้าคางคกหนุ่มก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมาชีวิตของมันให้กับทายาทรุ่นต่อไป ถึงพระคุณของควายแก่นาม “สีเผือก”

(จบเศร้าไปไหมเนี่ย เขียนต่อดีกว่า)
ระหว่างการขนย้ายฝูงควายขึ้นรถสิบล้อ ควายทุกตัวยืนแออัดยัดเยียด สีเผือกโชคดีหรือโชคร้ายไม่ทราบที่ยืนท้ายสุดของรถสิบล้อขณะที่รถกำลังเข้าโค้งควายทุกตัวก็ถลาไปตามแรงรถ ทำให้เชือกที่มัดรั้งท้ายรถเหมือนคอกกั้นไว้ขาดลงเพราะแรงที่ปะทะ แล้วสีเผือกก็หล่นลงจากท้ายรถสิบล้อในขณะที่รถวิ่ง อาจจะเพราะสีเผือกตัวเล็กผอมก็เป็นได้ ขณะเดียวกันมีรถเก๋งคันงามชนที่ขาหลังเข้าอย่างจัง ทำให้สีเผือกลุกไม่ได้ ส่วนรถสิบล้อกลัวความผิดที่ตนเองทำควายหล่นลงไปขวางทาง จนเป็นเหตุให้รถเก๋งคันนั้นยุบ ก็เลยขับหนีไป ปล่อยให้สีเผือกนอนขวางถนนโดยมีเจ้าของรถเก๋งหญิงวัยกลางคนลงมาดูที่หน้ารถแล้วดิ่งมายังเจ้าสีเผือกที่นอนร้องอยู่

“โถ เวรกรรมอะไรกันหนอเจ้าควายเอ๋ย ถึงเป็นแบบนี้ หรือเป็นบุญของเธอ ที่ไม่ต้องเข้าโรงฆ่าสัตว์นะ” หญิงวัยกลางคนบ่นพึมพำ แล้วโทรเรียกรถลาก ไม่นานจากนั้นรถลากก็มาลากรถหล่อนไป และ หล่อนก็ขอให้บริษัทลากรถ ช่วยบรรทุกสีเผือก ไปที่บ้านหล่อนด้วย สีเผือกมองไปรอบๆบ้านของหญิง เห็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่มากมาย ที่สภาพบาดเจ็บ พิการเดินให้วุ่น แล้วไม่นานวันต่อมาสีเผือกก็รู้ตัวว่า ตัวเองอยู่สถานพิทักษ์สัตว์แห่งหนึ่งนั่นเอง และสีเผือกใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ จนสิ้นลมหายใจ

ปล. ถ้ายังมีแรงหายใจอย่าท้อ มันมีโอกาสรออยู่เสมอ

เรียงความวันเด็ก


(แบบว่าชอบใจ แต่ดูเหมือนเด็กสมัยนี้สมองโตกว่าวัยมาก นะเนี่ย)