วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2551

มารหัวขน

ณ.อำเภอเมือง เชียงราย ดินแดนที่ผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียน ผ่านไปท่องเที่ยว ด้วยเพราะบรรยากาศและทิวทัศน์ที่สวยงาม และเป็นเส้นทางผ่านไปยังอำเภอแม่สายไปประเทศ พม่า เพื่อจับจ่ายใช้สอย สินค้าราคาถูกจากประเทศพม่าและจีน ปรีชา ก็เป็นคนหนึ่งที่ผ่านเส้นทางนี้ในวันนี้ เด็กหนุ่มพึ่งจบการศึกษาระดับ ปวส. งานแรกที่เขาได้ทำคือ เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์การก่อสร้างปั้มน้ำมันตราหอย ประจำจังหวัดเชียงราย วันนี้เป็นวันแรกที่เขาเข้ามาเชียงราย จุดที่ทุกคนต้องแวะเวียนคือ ตลาดไนท์บาซาร์ในตัวเมือง จะคับคั่งด้วยผู้คน โดยเฉพาะตอนกลางคืนแต่ปรีชามาตอน บ่าย 4 โมงเย็น

“เชิญแวะดูสินค้าค่ะ สอบถามราคาได้นะค่ะ” อ้อยแม่ค้าวัยกระเตาะพูดชวน ลูกค้ามากหน้าหลายตาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร รวมทั้ง ปรีชา ที่ยืนอยู่บริเวณหน้าร้านของอ้อยด้วย
“แล้วแม่ค้าขายด้วยป่าว ราคาเท่าไหร่” ปรีชาพูดหยอกอ้อยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ขายค่ะ แต่ขอไปขอได้ที่แม่ค่ะ” อ้อยหยอกลูกค้าหนุ่มคืนเช่นกัน แล้วหันไปซุบซิบกับหน่องเพื่อนสนิทที่วันนี้มาเฝ้าร้านเป็นเพื่อน
“หน่อง ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีเน๊อะ อิอิ” อ้อยหันหลังคุยกับหน่องในขณะที่ปรีชากำลัง หยิบโน่นนี่ดู
“หล่อหนะ หล่อ แต่ปากนี่สิ ยังไงๆอยู่นะ” หน่องตอบ
“ผมขอซื้อ ลูกปัดห้อยคอ อันนี้ครับ เท่าไหร่” ปรีชาหยิบลูกปัดขึ้นยื่นให้อ้อย
“คิดพิเศษละกันค่ะ 35 ปกติ 40 นะ” อ้อยหยิบลูกปัดใส่ถุง ยื่นให้ปรีชา
“พอจะรู้ที่เที่ยวแถวๆ ตัวเมืองนี่ไหมครับ ผมอยากไปสำรวจให้ทั่วๆเมือง” ปรีชายืนเงินให้ 40 บาทแล้วถาม
“เยอะแยะเลยค่ะคุณ วัดวาอาราม ธรรมชาติ ว่าแต่ว่าชอบแบบไหนหล่ะค่ะ” อ้อยตอบพร้อมยื่นเงินทอนให้ปรีชา

ปกติการให้เงินทอนแก่ลูกค้า โดยทั่วไป ผู้รับต้องแบฝ่ามือ แล้วผู้ให้ต้องหย่อนเงินลงบนฝ่ามือ แต่ครั้งนี้ไม่แน่ใจอ้อยคิดอะไรในใจ อ้อยหงายฝ่ามือแบซึ่งมีเหรียญบาท 5 บาทอยู่ในมือ ปรีชาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยแล้วก็หยิบเหรียญ

“เออ..อ แล้วสถานที่เที่ยวตอนกลางคืนมีไหมครับ” มองไปที่อ้อย พลางถาม

ปรีชารับเงินจากมือของอ้อยด้วยวิธีประกบมือเข้าด้านบนแล้วกดด้วยนิ้วโป้งพลิกมือของอ้อย คว่ำฝ่ามือลง แล้วอมยิ้มมุมปาก ทำอ้อยหน้าแดงเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “ก็ที่นี่แหละค่ะ ถ้ายังไงตอนเย็นแวะมาดูของอีกสิ ร้านค้ามากมายเขาจะ มาออกร้านกันตอนเย็น.”
“ครับ ตอนเย็นผมจะลอง แวะมาอีกทีเผื่อมีอะไรน่าสนใจ ขอตัวก่อนครับ” ปรีชาพูดก่อนยิ้มให้แล้วเดินจากไป
“นี่อ้อย! แกทำอะไรอะตะกี้อะ” หน่องเหลือบมองปรีชาเมื่อเห็นปรีชาลับตาไปแล้ว จึงดึงไหล่ของอ้อยพูดเสียงดังออกไป
“อิอิ แล้วแกว่าฉันทำไรรึหน่อง” อ้อยทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ ใส่ยิ้มแก้มป่องเพื่อนรัก
“แหม เห็นหนุ่มหน้าตาดีหน่อยไม่ได้เชียวนะแก” หน่องงอนอ้อยเล็ก (จริงๆแล้วไม่แน่ใจเพศของหน่อง แต่คาดว่าสมัยนี้เรียก “ทอมบอย” แต่ไม่ค่อยชัดเจนนัก)
“ตะกี้เห็นซื้อลูกปัด คงซื้อไปฝากแฟนแหละ โธ่เอ้ย รู้ทันน่า ผู้ชาย” หน่องพูดทิ้งลาย
“ไปกันใหญ่ แล้วหน่อง แค่ลองทดสอบอะไรดูหน่อยแค่นั้นเองแหละ” อ้อยบอกเหตุผล
“ทดสอบอะไรของแก ไหนบอกมาซิ” หน่องข้องใจ
“อยากรู้เขาจะทำยังไงกับ เงินทอนหนะสิ อิอิ” อ้อยพูดพร้อมทำตามีราวมีเลศนัยลึกใส่หน่อง
“แล้วยังไงรึ ให้เขาจับมือหนะนะ” หน่องแคลงใจ
“อื้อ กล้าหาญกว่าที่คิดไว้เยอะ” อ้อยพูดหน้าตาเฉยพร้อมจัดของ
“ยัยอ้อย.! นี่แกทำงี้บ่อยงั้นสิ” หน่องชักออกอาการ
“ก็ ไม่หนิแต่คนนี้ดูดีนะ” อ้อยพูดกับหน่องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แกว่าเย็นนี้เขาจะมาไหมหน่อง” อ้อยถาม
“จ้างซะ” หน่องฉุน
“ไม่แน่นา อิอิ” อ้อยตอบแล้วอมยิ้มหันไปยิ้มให้หน่อง
“ช่วยดูลูกค้ามุมนั้นหน่อย เขาจะซื้ออะไรหน่อง” อ้อยชี้มือไปยังลูกค้าแล้วบอกหน่องไปช่วยดูแล

ตกกลางคืนผู้คนพลุกพล่านที่เดินจับจ่ายใช้สอย แต่ไร้วี่แววของ ปรีชา ผ่านมาร้านของอ้อย อ้อยไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับแม่ค้าแบบเขาที่จะเจอคนมากหน้าหลายตาแทบทุกวัน จวบจนเที่ยงคืนอ้อยกับหน่องก็ช่วยกันเก็บของ ก่อนเดินทางกลับบ้านด้วยมอเตอร์ไซต์คู่ใจพร้อมกัน หน่องส่งอ้อยลงบ้านแล้วหน่องเองบ้านห่างไปไม่ไกลนักจากบ้านอ้อย

แปดโมงเช้าหน่องยังไม่ตื่นคงเพราะเหนื่อยล้า กับงานที่ทำเมื่อคืน
“อ้อย…อ้อย ตื่นได้แล้วลูกสายแล้วนะ เดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทันลูก” แม่ของอ้อยร้องเรียกอ้อยจากชั้นล่างของบ้าน
“ค้า ..แม่” อ้อยลืมตาอย่างงัวเงีย ออกมาจากผ้าห่ม ก่อนเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ แต่งตัว แล้วลงมากินอาหารเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้
“พ่อ…หล่ะแม่” อ้อยถามถึงพ่อ เพราะปกติจะเจอหน้าพ่อที่โต๊ะอาหารตอนเช้าทุกวัน
“พ่อหนะ ไปในค่ายนานแล้ว นี่มันจะแปดโมงครึ่งละนะลูก” แม่ของอ้อยบอกถึงเวลาที่อ้อยต้องทำเวลา (พ่ออ้อยเป็นนายทหาร)
“งั้นหนูไปก่อนนะแม่” อ้อยยกแก้วนม ดื่มรวดเดียวจบ ก่อนบอกลาแม่โดยไม่แตะอาหารเช้า ก่อนคว้ากระเป๋านักเรียนรีบออกไป
“เอ้า ลูกไม่รองท้องอะไรหน่อยเหรอ เดี๋ยวหิวนะ” แม่บอกด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ละแม่ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน ไปละแม่ หวัดดีค่ะ” อ้อยยกมือไหว้แม่ ออกประตูบ้านไปคว้าจักรยานคันเก่งปั่นไปโรงเรียน ไม่ถึง 10 นาทีอ้อยก็มาถึงโรงเรียนในขณะที่เพื่อนๆเข้าห้องเรียนกันหมดแล้ว อ้อยจอดรถแล้วขึ้นตึกเรียนก่อนย่องเข้าทางหลังห้อง

“เช็คชื่อยัง เช็คชื่อยัง” อ้อยก้มหัวลงต่ำพร้อมกับถามหน่องซึ่งนั่งโต๊ะข้างๆอ้อยรออยู่ก่อนแล้ว
“ยัง ยัง อาจารย์พึ่งเข้ามา แกมัวทำไรอยู่ มาสาย วันนี้สอบบัญชี แกก็รู้” หน่องพูดกระซิบกระซาบกับอ้อย ในขณะที่อ้อยก็เตรียมปากกาดินสอ เพื่อสอบวิชาบัญชี (อ้อยเรียนพาณิชย์ ที่สถาบันการศึกษาเอกชนแห่งหนึ่ง)

ครอบครัวของอ้อยเป็นครอบครัวที่อบอุ่น พ่อของอ้อยค่อนข้างจะเข้มตลอดกับอ้อย ไม่มีใครกล้ามาข้องแวะกับอ้อยเพราะเป็นที่รู้กันว่าพ่ออ้อยดุ อ้อยเองก็เข้าใจว่าพ่อรักอ้อย จึงไม่ค่อยจะมีปากเสียงในเรื่องนี้ ส่วนแม่ของอ้อยเป็นแม่บ้านของพ่อ ดูแลพ่อ อยู่บ้าน และออกจะมีนิสัยคุณนายนายทหาร (ภริยานายทหาร) จะมีกิจกรรม สังสรรค์สมาคมของเขาอยู่เสมอๆ คือกลุ่มภรรยานายทหาร ส่วนอ้อยเรียนและขายของในตอนเย็น บ่อยครั้งที่จะเห็นอ้อยทำการบ้านที่ร้านขายของ ส่วนหน่องเป็นคนที่แม่ของอ้อยจ้างมาเป็นเพื่อนอ้อยและช่วยขายของในตอนเย็นๆ ก็ลดความเป็นห่วงของพ่อและแม่ได้บ้าง แต่พ่อของอ้อยนานๆทีก็แวะมาดูอ้อยที่ร้านบ้างแต่นานๆครั้ง ส่วนแม่ของอ้อยโอกาสที่จะแวะเวียนมาดูน้อยมาก เพราะถือว่าเป็นคุณนายเขาต้องไปสมาคมกับคุณนายด้วยกันประมาณนั้น

วันนี้เหมือนทุกวันประมาณ 4 โมงเย็นหลังเลิกเรียนอ้อยกลับบ้าน รอสักพักหน่องก็จะขับรถมอเตอร์ไซต์ มารับเพื่อเข้ามาใน ไนท์บาร์ซ่า มาเปิดร้านขายของวันนี้ขายของไม่ค่อยดีนักราวสี่ทุ่มกว่าๆ ปรีชาก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าร้านของอ้อย

“สวัสดีครับ จำผมได้ไหม” ปรีชาพูดกับอ้อยอย่างสุภาพ
“อ๋อ คุณนั่นเอง” อ้อยส่งยิ้มให้
“ขายดีไหมครับวันนี้” ปรีชาถามไถ่
“พอขายได้ แต่วันนี้ไม่ดีเท่าไหร่ ไปไงมาไงค่ะวันนี้” อ้อยถามพร้อมจัดของลงกล่อง
“พอดี ไม่รู้จะทำไร เลยมาเดินเล่นแถวนี้หนะ” ปรีชาตอบ
“มะ ผมช่วย” ปรีชาเห็นอ้อยกำลังยกกล่องขึ้นวางซ้อนกันเลยอาสา ช่วย ส่วนหน่องทำหน้าแปลกๆใส่หน่อง
“ขอบคุณค่ะ” อ้อยรีบขอบคุณ
“วันนี้ทำไม ปิดเร็วหล่ะคุณ” ปรีชาถาม
“ดูคนไม่ค่อยมีแล้ววันนี้กะว่าจะปิดร้านเร็วหน่อยค่ะ” อ้อยตอบ
“ถ้ายังไม่รีบกลับ ไปหาอะไรกินกันที่มุมตลาดนั่นดีไหมครับ ชวนเพื่อนคุณไปด้วยกัน” ปรีชาออกปากชวน พร้อมชี้มือไปยังร้านอาหารที่เสียงดนตรีดังแว่วๆมา
“เอ่อ..ค่ะ ขอถามเพื่อนดูก่อนนะค่ะ” อ้อยแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนร้องเรียกหน่อง
“หน่อง หน่อง เราไปหาอะไรกินร้าน Spice เน๊อะหน่อง” อ้อยชวนหน่อง
“ไปก็ไปสิ ตามใจ” หน่องรับคำทั้งๆที่ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่
“คุณอย่าทำดีกว่า ฉันทำเองนะ” อ้อยหันมาบอกปรีชา ขณะที่ปรีชาพยายามจะเอาของลงกล่องช่วย

ทั้งสามก็พากันมานั่งที่อาหารกึ่งพลับ เสียงเพลงทำให้พูดกันไม่ค่อยได้ยิน ทำให้ทุกคนต้องคุยกันเสียงดัง บรรยากาศ มืดๆเต็มไปด้วยแสงแบล็คไลค์ (สีม่วงเรืองๆ) ทำให้เวลาคุยต้องเอียงหูมาคุยกันใกล้ๆ หรือไม่ต้องตะโกน เพราะต้องแข่งเสียงอื้ออึง ของผู้คนและเสียงดนตรี

“ไม่ทราบจะรับอะไรดีครับ” บริการของร้านเดินมาที่โต๊ะ เอ่ยปากพร้อมส่งรายการอาหาร
“ทานอะไรกันดีครับ” ปรีชาถาม หยิบรายการอาการส่งต่อให้หน่องและอ้อย
“ขอเบียร์เย็นๆ ก่อนละกัน” หน่องพูดขึ้นตั้งแต่เมนูยังไม่ถึงมือ
“ไม่ทราบว่าเบียร์อะไรดีครับ” บริการถาม
“สิงห์ขวดละกัน อ้อยเอาไร?” หน่องตอบและถามอ้อย
“น้ำปล่าวละกัน” อ้อยตอบ
“งั้นผมเอาเบียร์ด้วยละกัน” ปรีชาพ่วงท้าย ไม่นานนักเครื่องดืมและอาหารก็มาส่ง
“ขอโทษ นะครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณทั้งสองเลย” ปรีชาถาม
“อ๋อ นี่หน่อง ฉันชื่ออ้อยค่ะ” อ้อยตอบ
“ผมปรีชาครับ ยินดีที่รู้จัก” ปรีชาตอบก่อนยกแก้วขึ้นเพื่อแสดงความเป็นมิตรไมตรี (1 น้ำ 2 เบียร์)

ทั้งคู่คุยกันสนุกสนานเว้นแต่หน่องที่จะไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่แต่ก็ไม่แสดงอะไรที่ไม่เหมาะสมออกมานับจากวันนั้นเป็นต้นมาปรีชา เลยกลายเป็นคนรู้จักของอ้อยและหน่องไปโดยปริยาย ปรีชาจะมาร้านอ้อยในทุกเย็นหน่องเองก็เห็นปรีชาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง (ทำไงได้) ด้วยวัยแค่ ปวช.3 ของอ้อยกับหนุ่มขี้เหงาจากเมืองกรุง ทำให้ทั้งก่อเป็นความรักขึ้นมาแค่ช่วงเวลาไม่กี่เดือน และหน่องเองต้องย้ายตามพ่อไปที่เชียงใหม่และไปเรียนต่อระดับ ปวส ที่เชียงใหม่ ทำให้อ้อยเหมือนขาดเพื่อนรู้ใจอย่างหน่อง แม่ของอ้อยจึงจ้างคนงานมาช่วยอ้อยทำงาน แต่แม่ของอ้อยไม่รู้ความสัมพันธ์ของชายหนุ่มที่ก่อขึ้นกับลูกสาวตัวเอง แม่ของอ้อยเห็นอ้อยเป็นเด็กแก่นแก้ว อยู่ตลอดเวลา แล้วความสำพันธ์ที่เกินเลย ของทั้งคู่ จึงเกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิดของทั้งคู่

“พี่ปรีชา อ้อยสงสัยจะท้อง” อ้อยหอบความกังวลเต็มใบหน้าไป หาปรีชาที่ห้องพักของปรีชา
“อะไรอ้อย ไปตรวจมายัง” ปรีชาทำหน้าตกใจก่อนซักถาม
“เมนอ้อยไม่มา 2 อาทิตย์ละทั้งๆที่ควรจะมาละพี่” อ้อยอธิบาย
“มันอาจจะมาช้าก็ได้มั้ง คงไม่มีอะไรหรอก” ปรีชาปลอบใจอ้อย
“แต่อ้อย มาตรงตลอดเลยนะพี่” อ้อยพยายามอธิบาย
“ไม่มีหรอกน่า” ปรีชาพูดตัดบทจบ

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน อ้อยก็ไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเอง ไปหาปรีชา ปรีชาก็ไม่มีคำแนะดีๆอะไรให้ มีแต่ซ้ำเติม
“ทำไมอ้อย ไม่รู้จักป้องกันตัวเอง อ้อยเป็นคนท้องนะพี่ไม่ได้ท้อง” ปรีชาพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ก็” อ้อยไม่รู้จะพูดยังไง

เวลาสองเดือนผ่านไป อ้อยยังคงไปหาคนรักอ้อยเพื่อได้รับความอบอุ่นใจ คำตอบที่ได้รับจากคนรัก
“พี่รับผิดชอบไม่ไหวหรอก อ้อย”

สามเดือนผ่านไป อ้อยก็ยังคงไปหาปรีชาคนที่อ้อยรักด้วยความหวัง
“ถ้าพ่อแม่พี่รู้เข้า ท่านเอาพี่ตายแน่ๆ” ปรีชาอารมณ์เสียเช่นเคย

สี่เดือนผ่านไป ปรีชาได้หายไปจากเชียงรายโดยไร้ร่องรอย ความเครียดตกอยู่ที่อ้อยแต่เพียงผู้เดียว ท้องสี่เดือนของอ้อย มองดูเผินๆเหมือนอ้อยอวบขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง อยากที่จะทราบได้ แต่อาการของอ้อยปิดผู้เป็นแม่ไม่ได้ แต่แม่ได้แต่แปลกใจแต่ไม่ไถ่ถามแต่อย่างใด คิดว่าลูกคงไม่สบายเท่านั้นเอง ในที่สุด อ้อยตัดสินใจเข้าไปคุยกับแม่ด้วยน้ำตาอาบแก้ม ในขณะที่พ่อของอ้อยไม่อยู่บ้าน

“ฮืออ ฮือ แม่…อ้อยท้อง” อ้อยร้องไห้ผวาโอบกอดแม่พร้อมพูดทั้งน้ำตา แม่ของอ้อยตกใจสุดขีด ถึงคำพูดของอ้อยลูกสาวที่แก่นแก้วแสนซน ของแม่เป็นอะไรไป เขายังเป็นเด็กเล็กวิ่งเล่นอยู่เลยเมื่อวาน วันนี้บอกว่าท้อง
“ว่าไงนะลูก” แม่ของอ้อยถาม
“ฮือ ฮือ อ้อยท้องค่ะแม่” อ้อยกอดคอแม่แน่น น้ำตา ขี้มูกไหลเป็นทาง แม่ของอ้อยพลอยน้ำตา คลอกับอ้อยแล้วตั้งสติถามไป
“อ้อยท้องกับใคร อ้อยท้องกับใคร บอกแม่ซิ” แม่ของอ้อยซักถาม
“ไม่ทราบค่ะ แม่” อ้อยไม่รู้จะตอบ แม่ยังไง

ปรีชาเอง ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลส่วนตัวของปรีชาอะไรมากมายกับอ้อย อ้อยรู้แต่ว่าปรีชาเป็นคน กรุงเทพ มาทำงานควบคุมงานก่อสร้างปั้มน้ำมันเชลล์ ก็แค่นั้นเองเลยตอบไปแบบนั้น แม่ของอ้อยก็รับสภาพนี้ไม่ได้เช่นกัน ด้วยเพราะสังคมของภริยานายทหารใหญ่ หน้าตาเป็นเรื่องสำคัญมาก และที่สำคัญสุดถ้าพ่อของอ้อยรู้เรื่องนี้ต้องตายกันไปข้างหนึงแน่นอน ครั้นจะไปเอาเด็กในท้องออก ก็สี่เดือนแล้วอันตรายถึงชีวิตลูกสาวด้วย สรุป สองแม่ลูกมืดแปดด้าน แต่ทำยังไงก็ได้อย่าให้พ่อของอ้อยรับรู้เรื่องนี้เด็ดขาด นั่นคือความคิดของแม่อ้อย และอ้อยก็กลัวพ่อเป็นที่สุดด้วยในเรื่องนี้ อ้อยจึงนึกถึงเพื่อนรักที่ย้ายไปอยู่เชียงใหม่

“หน่องเหรอ นี่อ้อยนะ” อ้อยโทรข้ามจังหวัดหาหน่องซึ่งกำลังเรียน ปวส อยู่ที่เ ชียงใหม่ด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เอ้า ว่าไงแก ไม่ได้คุยกันซะนาน สบายดีไหม” หน่องดีใจมากหลังจากไม่ได้คุยกันซะนาน
“อ้อยว่าจะไปขอพักบ้านหน่อง สักพักได้ไหมหน่อง” อ้อยถามเพื่อนรักด้วยความหวัง
“เอ่อ บ้านเราคับแคบ แต่เราไปหาเช่าห้องให้ได้ ไม่แพงหรอก เรารู้จักหอพักแถวๆนี้เยอะ” หน่องพูดตามซื่อ และพร้อมจะช่วยเหลือ
“มีอะไรปล่าวแก เสียงอ่อยๆ ไม่สบายเหรอ” หน่องถามเพื่อนด้วยควาเป็นห่วง
“ไว้เล่าให้ฟังนะ เมื่อถึงเชียงใหม่ พรุ่งนี้ไปรับที่ท่ารถหน่อนนะหน่อง” อ้อยพูดจบก็วางสาย ปล่อยให้หน่องคาใจ

และอ้อยก็ไปพักที่ห้องพักที่หน่องช่วยจัดหาให้ด้วยเงินที่ติดตัวมา (แม่สนับสนุนด้านการเงินด้วย) ด้วยเหตุผลเดียวคือไปให้ไกลๆพ่อ อย่าให้พ่อรู้ อ้อยเล่าความจริงให้หน่องเพื่อนที่อ้อยรักที่สุดฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ฝากความแค้นไว้ในใจของหน่องที่มีต่อปรีชาตราบเท่าทุกวันนี้ อ้อยมาอยู่เชียงใหม่ปัญหามันไม่ได้แก้ไขเพียงแต่เป็นการหนีปัญหา เท่านั้นเอง ส่วนเหตุผลที่แม่ของอ้อยบอกพ่อคือ อ้อยไปเรียนต่อที่เยงใหม่ ซึ่งพ่อก็ได้แต่โทรติดต่ออ้อย แต่ไม่ได้ไปหาเพราะ มากด้วยภารกิจนาๆ ความเครียดของอ้อยตลอดที่ตั้งท้องเครียดเป็นทวีคูณ ยิ่งท้องโตอ้อยยิ่งเครียด ทำไงดีๆ อ้อยถามตัวเองตลอดเวลา แล้วอ้อยก็ตัดสินใจโง่ๆ ด้วยความคิดของเขาเองคือเอาเด็กออก ทั้งๆที่เด็กอายุ 7 เดือนแล้ว และการเอาออกของอ้อยคือ เอาออกด้วยตัวเอง ในขณะที่อ้อยอยู่ในห้องพักคนเดียว ซึ่งวิธีการทราบมาว่าอ้อยไป รู้มาจากหมอเถื่อนที่รับจ้างทำแบบนี้ แต่เนื่องจากชีวิตที่อยู่ในท้องเงก็คงอยากมีชีวิตรอด จึงทำให้ความพยายามของอ้อยไม่เป็นผล แต่มันมีผลตรงกันข้ามคือ การทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด และทุกวันหน่องจะต้องมาเยี่ยมอ้อยที่ห้อง หน่องเองมีกุญแจห้องพักนี้ด้วย เมื่อหน่องเปิดประตูเข้าไปภาพที่เห็นคือ เลือดที่เลอะเต็มพื้นห้องน้ำ และอ้อยหายใจอิดโรย หน่องตัดสินใจพาหน่องไปโรงพยาบาล ด้วยความทุลักทุเล ถึงโรงพยาบาล หมอสูติมองภาพออกทันทีถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่หมอก็รักษาชีวิตของอ้อย และลูกของอ้อยไว้ได้สำเร็จ ลูกอ้อยออกมาน้ำหนักน้อยมากประมาณ 1500 กรัมมองดูเผินๆประมาณขวดน้ำปลานี่แหละ หมอจัดการเอาเด็กเข้าตู้อบ แล้วเรียกประชาสงเคราะห์รับช่วงต่อทันที เพราะหมอประเมินสถานการณ์แล้ว ว่าอ้อยคงมีปัญหาเรื่องนี้แน่ๆถึงทำแบบนี้ เมื่ออ้อยรู้สึกตัวขึ้น อ้อยก็ไม่อยากรับรู้อะไรด้วยอายุยังน้อย ความรับผิดชอบยังไม่พร้อมก็เห็นจะเป็นได้ อ้อยเซ็นเอกสาร มอบลูกชายที่พึ่งเกิดให้กับบ้านเด็กกำพร้า ราวกับยกปัญหาออกจากตัวเอง แต่ใจลึกๆของอ้อยก็ยังลังเล แต่หน่องเองก็ได้แต่ ช่วยเหลือเพื่อนเท่าที่ทำได้ เพราะปัญหายิ่งใหญ่เกินกว่าหน่องเองจะรับไหว อ้อยออกจากโรงพยาบาลได้ระยะหนึ่ง อ้อยก็กลับเชียงรายบ้านเกิด แล้วลูกของอ้อยก็ถูกส่งไปยังบ้านเด็กอ่อนเวียงพิงค์ คงมีแต่หน่องที่มีโอกาสไปเยี่ยมลูกของเพื่อนบ้างเป็นครั้งคราว

“คุณเป็นพ่อของเด็กหรือค่ะ” พี่เลี้ยงเด็กอ่อนถามผม ด้วยเพราะผมมักจะมาเยี่ยมเด็กอ่อนเป็นเพื่อนหน่องเสมอๆ
เดิมทีผมก็ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน จนหน่องเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผมได้แต่อมยิ้มแล้วหันไปตอบ
“ไม่หรอกครับ ลูกเพื่อนของเพื่อนหนะ แล้วพี่ว่า อิงค์ หน้าตาเหมือนผมหรือครับ อิงค์ออกจะขาว ตาโต” ผมตอบพี่เลี้ยงเด็กถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกายภาพของผม

ลูกของอ้อยชื่อ อิงค์ ตามคำขอของอ้อย ผมจำได้ว่าอ้อยมีโอกาส มาดูลูกตัวเองหนึ่งครั้ง แต่อ้อยดูจะมีปัญหาหนักอึ้งขวางอยู่กระมัง (ปัญหาเรื่อง หน้าตาสังคมของพ่อและแม่) ตอนนั้นอ้อยได้
แต่ร้องไห้ข้างในใจ น้ำตาคลอ ราวกับจะบอกว่า ถ้าไม่ติดพ่อแม่ของอ้อย อ้อยคงรับอิงค์ไปเลี้ยงดูแล้วแหละ อิงค์ เป็นเด็กร่างกายแข็งแรง ผิวขาวตาโต จัดว่าหน้าตาดีมาก (น่าจะมาจากพ่อของอิงค์) จึงมีผู้ใจบุญท่านหนึ่ง รับอิงค์ไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่อิงค์อายุ 2 ขวบ จากนั้นผมก็ไม่ได้เจออิงค์ อีกเลย…. ป่านนี้อิงค์คงขึ้น โตเป็นหนุ่มละ อิงค์เองยังโชคดีกว่าเด็กกำพร้าหลายๆ ที่รอคอยผู้คนรับตัวไปเลี้ยงดู แต่ก็ถูกมองข้ามไปเพราะ เด็กมักผิดปกติเพราะ แม่ของเด็กพยายามจะทำลายเด็กขณะอยู่ในครรภ์

ภาพเด็กตัวเล็ก บ้างคลาน บ้างหัดเดิน เต็มห้อง อ้าแขนเดินมากอดขากอดแขน นอนทับบนตัว เป็นภาพที่ติดตาผมมาตลอดเมื่อไปเยี่ยมเด็กๆ ผมมักไปช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เวลา 10 โมงเช้าเป็นเวลาป้อนข้าวเด็ก จะเห็นเด็กนั่ง 4-5 คนข้างหน้าอ้าปากรอคิวช้อนตักข้าวโอ๊ตเข้าปากเขา มันเป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้จริงๆ อิ่มใจที่ได้ช่วยเหลือเขา แต่นั่นแหละมันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ควรให้ผู้คนในสังคมกลับไปมองที่ต้นเหตุจะดีกว่า

ปล. การแก้ปัญหาใดควรมองผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม มากกว่าการมองผลกระทบต่อสังคมส่วนตัว หาไม่แล้วการแก้ปัญหานั้นเป็นการ “เห็นแก่ตัวดีๆนี่เอง”