วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

พ่อครับผมอยากให้พ่อกอด


เก่งครูประชาบาลวัยเบญจเพส ประจำโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย กับสาวอ้อยอยู่หมู่บ้านติดกันกับเก่ง ซึ่งทั้งคู่ก็เคยรู้จักมักคุ้นกันอยู่พอสมควร โดยเฉพาะพ่อและแม่ของอ้อย ดูจะชื่นชอบเก่งอยู่เอาการ อ้อยเป็นคนรักแม่และพ่อมาก อ้อยเป็นสาวก็มีหนุ่มมากหน้าหลายตาแวะมาจีบอยู่ แต่อ้อยก็ไม่ได้สนใจอะไร อ้อยเรียนจบ อ้อยก็สอบบรรจุเป็นข้าราชการ ประจำอยู่ภูเก็ต แต่อ้อยก็ไปมาๆ สุโขทัยเพื่อเยี่ยมพ่อแม่อยู่เป็นระยะๆ แต่พ่อแม่ก็อดเป็นห่วงลูกสาวไม่ได้ เพราะไปทำงานไกลหูไกลตา วันหนึ่งอ้อยมาเยี่ยมบ้านหลังจากไปรับราชการที่ภูเก็ตได้เพียงเดือนเดียว

“อ้อย เอ้ยแม่ว่า อ้อยหาทางย้ายมา ที่บ้านเราดีไหมลูก” แม่ของอ้อยพูดขึ้นเพราะเป็นห่วงลูกสาว
“พ่อก็ว่างั้นแหละลูก อยู่โน่นมันไกลหูไกลตา พ่อเป็นห่วงหนะลูก” เสียงพ่อพูดขึ้นมาเสริมคำพูดแม่
“หนู ก็อยากกลับค่ะแม่ แต่ระเบียบเขามี ทำให้กลับไม่ได้ตอนนี้ค่ะแม่” อ้อยบอกแม่ถึงเหตุผล
“ระเบียบอะไร ของเรา แม่ไม่เข้าใจ เราก็ทำเรื่องย้ายมาสิลูก” แม่พยายามบอกลูกให้ย้ายมาให้ได้
“ระเบียบข้าราชการค่ะแม่ การย้ายต้องทำตามระเบียบเขาค่ะแม่ ไม่งั้นมีโทษ” อ้อยบอกแม่ แล้วก็ถอนหายใจ
“แม่ก็อยากให้ลูกย้ายมา อยู่บ้านเราเร็วๆ แม่เป็นห่วงลูกหนะ” แม่อ้อยพูดเสียงอ่อย
“หนูเข้าใจแม่ค่ะ” อ้อยตอบ

เมื่ออ้อยลาพ่อและแม่กลับไปทำงานที่ภูเก็ตต่อ พ่อและแม่อ้อยก็วางแผนการที่จะให้อ้อยกลับมาอยู่บ้านให้ได้
“พ่อ แม่ว่าอยากให้ลูกเราเป็นฝั่งเป็นฝาซะทีดีไหมพ่อ” แม่ของอ้อยออกความคิดให้พ่ออ้อยฟัง
“พ่อว่ามันก็ดีเหมือนกัน แต่อ้อยก็ไม่เห็นมีใคร จริงๆซะทีหนิแม่” พ่อตอบ พร้อมกับพูดถึงปัญหา
“พ่อลืมแล้วรึ เก่ง ลูกแม่ช้อนไง นิสัยมันดีนะ แม่ว่า เราเองก็รู้จักมักถี่กับแม่มันด้วย” แม่อ้อยชี้ทางสว่างให้พ่อ
“เออ มันก็ดูดีอยู่หรอกแม่ แต่มันก็ต้องถามลูกเราด้วย ว่ามันชอบด้วยหรือป่าวล่ะ” พ่อแบ่งรับแบ่งสู้คำพูดแม่
“แต่เห็นเขาสองคนก็คบๆกันอยู่บ้างนะแม่ว่า พ่อว่าไหม” แม่อ้อยพูดสนับสนุนความคิดตัวเอง
“พ่อก็เห็นเก่ง เขาแวะๆมาบ้านเราบ้างก่อนนี้ แต่ตั้งแต่ลูกไปทำงานที่ใต้ ก็ห่างๆกันไปไม่ใช่หรือแม่” พ่ออ้อยพูดตามที่เห็น
“ไว้พรุ่งนี้ แม่จะไปคุยกับแม่ช้อน เรื่องนี้ ว่าแม่ช้อนจะมีความคิดเห็นยังไง ดีไหมพ่อ” แม่ของอ้อย เดินรุก
“ก็ลองดูแม่ พ่อก็อยากให้ลูกกลับมาอยู่บ้าน เหมือนกัน” พ่อสนับสนุนความคิดแม่

วันรุ่งขึ้นแม่ของอ้อยเดินลัดหมู่บ้านไปยังบ้านแม่ช้อน เพื่อคุยเรื่องที่อยู่ในใจ


“แม่ช้อนๆ อยู่ไหม” เสียงเรียกของแม่อ้อย ดังมาจากหน้าบ้าน
“อ้าวว แม่ลำเจียกหรอกเหรอ ลมอะไรหอบแม่ลำเจียก มาถึงนี่หล่ะ” แม่ช้อนพูดออกมาจากในบ้านก่อนเดินรี่ออกมาจับมือ แล้วพาไปนั่งที่แคร่หน้าบ้าน
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แม่ช้อน ฉันว่าจะมาปรึกษาเรื่องลูกหน่อยหนะ” แม่ของอ้อยพูดแบบนิ่มนวล
“ไอ้ลูกเรา สองคนนี่มันก็ชอบพอกันอยู่ แม่ช้อนว่าไหม ฉันเลยอยากให้มันเป็นฝั่งเป็นฝาหนะ” แม่ของอ้อยไม่อ้อมค้อมวกเข้าประเด็น
“อ๋อ เก่งหนะกับอ้อย หนะเหรอ ฉันก็เห็นลูกบอกว่า ไปบ้านแม่ลำเจียกบ่อยๆ ที่แท้ไปหาอ้อยนี่เอง ก็พอได้ยินข่าวคราวมั่ง ว่ามันชอบอ้อย” แม่ช้อนพูดเพราะเห็นลูกชาย บอกว่าจะไปบ้านแม่ลำเจียก บ่อยครั้งในช่วงก่อนนี้
“แต่แม่ลำเจียกรู้ไหม ตอนนี้เก่งเขาต้องย้ายไปสอนที่โรงเรียนในจังหวัดตากโน่นแหนะ เหมือนเขาได้เลื่อนขั้นสูงขึ้นหรืออะไรนี่แหละ” แม่ช้อนพูดถึงลูกชายคนเดียวอันเป็นสุดที่รัก(มาก)
“เหรอ แต่มันก็ใกล้ กว่าลูกสาวฉันเยอะ นะโน่นภูเก็ตตั้งไกล ฉันเป็นห่วงลูกฉันหนะ แม่ช้อน” แม่ของอ้อยเอ่ย
“เอาเป็น ว่าไว้เก่งมาบ้าน ฉันจะลองถาม เก่งดูละกัน เพราะเราก็เป็นเพื่อนกันมานาน เราว่าดีลูกก็คงเห็นดีเห็นงามด้วย ว่าไหม” แม่ช้อนพูดแล้วเอามือจับพูลเข้าปากเคี้ยว มับๆ หัวเราะร่าา..
“ฉันก็ว่างั้นแหละ อันที่จริงลูกเธอฉันก็เห็นมาแต่เล็กๆ เขานิสัยเป็นยังไงฉันก็รู้ ก็เห็น เอาเป็นว่าลองคุยกับเขาดูแล้วส่งข่าวให้ฉันหน่อยนะแม่ลำเจียก ฉันแวะมา คุยเรื่องนี้แหละแม่ช้อน เดี๋ยวต้องรีบไปเตรียมขนมไว้ขายในตลาด ละ ถ้าแม่ลำช้อนแวะไปในตลาดก็อย่าลืม บอกฉันหล่ะ” แม่ของอ้อยพูดพลางลุกขึ้นยืน
“อ้าว ไหงมาแป๊บเดียวไปซะละ อยู่กินเข้าเที่ยงด้วยกันก่อนสิ แม่ลำเจียก” แม่ช้อนพยายามรั้งเพื่อนวัยชราไว้
“ไม่ละ เอาไว้ว่างๆ จะมาชิมละกันนะ ไปละจ๊ะแม่ช้อน อย่าลืมเรื่องที่เราคุยกันหล่ะ” ว่าแล้วแม่ของอ้อยก็เดินหันหลังกลับลับตาไป

พ่อของเก่งเป็นนักกีฬาไก่ชน จึงไม่น่าแปลกที่ลานหลังบ้านเก่งจะมี สังเวียนไก่ชนประจำหมู่บ้าน เก่งเองเติบโตมากับสังเวียนมันซึบซับเข้าสายเลือดมาตั้งแต่เด็กแต่เล็ก ว่าเขาจะต้องเป็นเซียนไก่ชน ให้ได้ แต่เก่งก็รักดี เรียนใช้ได้ ได้เป็นครูพละจนได้ แต่เก่งเองก็ถือว่าหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แถมเป็นนักกีฬา
จึงเป็นที่จ้องมองของสาวๆหลายสายตา แต่ตอนนั้นเก่งก็ชอบอ้อยอยู่เป็นทุน เมื่อเก่งกลับบ้านพ่อเยี่ยมพ่อแม่

“เก่งเอ้ย มานี่ซิลูก” แม่ช้อนเรียกลูกชายคนเดียวมานั่งข้างๆ
“กินอะไรหรือยังลูก แม่มีแกงหน่อไม้ กับใส้อั่วร้อนๆ ในตู้กับข้าวหนะ ถ้ายังไม่กินก็ไปกินซะ เดี๋ยวแม่มีอะไรจะคุยด้วย” แม่ช้อนรักลูกชายคนนี้ดั่งชีวิต
ลุกชายคนนี้อายุ 28 แต่แม่ช้อนยังมองลูกชายคนนี้เหมือนอายุ 8 ขวบ แม่ช้อนหารู้ไม่ว่า สิ่งที่แม่ช้อนกระทำด้วยความรักที่มีต่อลูก มันทำให้ลูกทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง ทุกอย่างพึ่งพาแม่มาตลอด 26 ปี (ลูกบังเกิดเกล้า)
“กินแล้วครับแม่ พึ่งวางจานตะกี้เอง ว่าแต่แม่มีเรื่องอะไรหรือครับ” เก่งล้มตัวเข้าไปซุกตักแม่ ทำตัวเหมือนแมวนัวเนีย (ลูกแหง่)
“เก่งลองบอกแม่ซิ ตอนนี้เก่งชอบสาวที่ไหนมั่งปล่าว แม่อยากมีหลานกับเขาบ้างละ” แม่ช้อนพูดกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แบบหยั่งเชิง แล้วเอามือลูบหัวลูกชายเบาๆ
“ก็มีอ้อยลูกสาวแม่ลำเจียก บ้านใต้ และก็ตุ๊กตา คนนี้แม่ไม่รู้จักหรอกเพราะเป็นคนที่อื่น และนอกนั้นก็มีแต่ไม่ได้คิดอะไรแค่คุยๆเฉยๆ” เก่งพลิกตัว จากตักแม่เงยหน้าพูดกับแม่แบบเป็นกันเอง
“ลูกแม่นี่ไม่เบานะ สาวเยอะเหมือนกันเรา หนิ” แม่แซวลูกชายสุดที่รัก
“คงเหมือนแม่ตอนสาวๆมั้งครับ ..” เก่งแซวกลับก่อนโดนแม่ ตีก้น 1 ป๊าบ
“คืองี้ แม่อยากให้ลูกเป็นฝาซะที ลูกก็อายุพอที่จะมีลูกมีเต้าให้แม่อุ้มได้ละนะ” แม่รุกคาดเก่ง
“อืม ใครจะมาชอบผมขนาดแต่งงานด้วยครับแม่ แค่ครูประชาบาลจน” เก่งพูดตัดบทแม่
“แม่พึ่งคุยกับแม่ลำเจียก แม่ของแม่อ้อย เราอยากให้เราเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน ลูกจะว่าไงฮึ..ลูก” แม่เก่งไม่อ้อมค้อมยิงคำถามไปยังเก่ง
“ผมก็ชอบอ้อยนะแม่ แต่ผมไม่รู้ว่าอ้อยจะว่าไงยังไงบ้าง แล้วอ้อยรู้เรื่องนี้หรือยังแม่” เก่งถามแม่กลับด้วยความกังวล
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แม่ลำเจียกกับแม่สนิทกันดี จะให้แม่ลำเจียกคุยกับแม่อ้อยให้จ๊ะลูก” แม่ของเก่งอมอมยิ้มขณะที่พูดคำนี้..
“สรุปว่า ลูกเห็นดีเห็นงามด้วยไหม ถ้าแม่อยากได้แม่อ้อยมาเป็นลูกสะใภ้บ้านเรา” แม่เก่งกล่าวสรุป
“ครับ เอาแม่ว่าละกัน ผมก็ไม่รู้ว่าอ้อยเขาจะคิดยังไง” เก่งก็ชอบอ้อย แต่ไม่คิดไกลถึงขนาดแต่งงานแต่เมื่อแม่ว่าแบบนั้นเก่ง จึงไม่อยากขัดแม่เท่าไหร่ เลยรับปากไป
“ดีลูก แม่จะได้พูดจากับแม่ลำเจียก ว่าลูกเห็นดีเห็นงามกับแม่” แม่ของเก่งอิ่มอกอิ่มใจเป็นที่สุด
“เดี๋ยวแม่ ผมขอไปดูพ่อ ขังไก่ชน ที่ลานหลังบ้านก่อนนะแม่” เก่งลุกขึ้นแล้วพูดกับแม่ก่อนเดินไปลานหลังบ้าน

เก่งเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน พ่อเก่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน พ่อเก่งชอบตีไก่ชน เก่งเองก็เติบโตมากับสังเวียนไก่ชนของพ่อซึ่งอยู่ลานหลังบ้าน จึงไม่น่าแปลกใจว่าเก่งได้สายเลือดพ่อเต็มๆ คือนักตีไก่ชน แต่เก่งก็โชคดีที่ชอบเล่นกีฬา และเป็นนักกีฬาของโรงเรียน เก่งร่างกายบึกบึน จึงเป็นที่หันมองของสาวๆที่พบพานเสมอๆ แต่เก่งก็ไม่ได้สนใจใยดีอะไรกะใคร จะมีก็ตุ๊กตาเพื่อนครูประชาบาลที่ สอนโรงเรียนเดียวกัน ที่จังหวัดตาก และอ้อยลูกสาวแม่ลำเจียกซึ่งรู้จักกันมานานพอควรแล้ว แต่ตอนนี้ต้องแยกย้ายกันไป อ้อยต้องไปรับราชการที่ภูเก็ต เก่งเดิมทีอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยใกล้ๆบ้าน แต่ก็ต้องถูกย้ายไปที่จังหวัดตากในตอนนี้ แต่เก่งและอ้อยก็ยังคบหากันอยู่ แต่ไกลกันนานๆ ทั้งคู่จะกลับมาบ้านที่สุโขทัย แล้วพบกัน ในที่สุดแม่ของเก่งและอ้อย ก็วางแผนสำเร็จ ขณะที่อ้อยกลับมาเยี่ยมบ้านที่สุโขทัย

“อ้อย เอ้ยมานี่ซิ แม่มีเรื่องอยากคุยกับอ้อย” แม่ของอ้อยเรียกอ้อยเข้ามาใกล้ๆ ในช่วงที่บ้านปลอดผู้คนราวกับว่าเป็นความลำสุดยอดของสองแม่ลูก
“แม่,มีอะไร หรือค่ะแม่” อ้อยทำเสียงเบาๆ มองซ้ายมองขวา เหมือนระแวดระวัง อย่าที่แม่ทำ
“แม่ เห็นลุกเดินทางไปๆมาๆ ใต้แล้วแม่เป็นห่วงหนะลูก แม่อยากให้ลูกมาอยู่กับแม่” แม่พูดเรื่องซ้ำเรื่องเดิมๆ
“แม่ก็..อ้อยบอกแม่แล้ว ว่ามันมีระเบียบบังคับอยู่ค่ะแม่” อ้อยพูดให้แม่เพื่อเข้าใจ
“แม่รู้แม่เข้าใจ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกอยู่ไกลหูไกลตาแม่ คืออย่างงี้ นะลูก…แม่ช้อนแม่เก่งเขาก็มาปรึกษาแม่ เขาอยากได้อ้อยเป็นลูกสะใภ้ ลูกจะว่าไงหล่ะลูก ลูกคิดยังไง” แม่ของอ้อยพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยลูกสุดที่รักคนเดียวของแก ในขณะที่อ้อยตกใจ เล็กน้อยกับคำพูดนี้
“เออ …แม่อ้อยไม่ได้คิดอะไรไกลป่านนั้นแม่ แค่คบๆกันเฉยๆ แม่” อ้อยพยายามเลี่ยงๆแม่เพื่อรักษาน้ำใจแม่
“เก่งเขาก็เป็นคนดีนะลูกแม่เห็นเขามาแต่เล็ก แม่เก่งเองแม่ก็สนิทสนมรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเป็นสาวๆโน่นลูก”
แม่ของอ้อยเชียร์เก่งเพื่อให้อ้อยยอมรับ โดยปกติแล้วอ้อยรักแม่และพ่อมาก เพราะพ่อแม่มีอ้อยคนเดียวที่เป็นลูกสาว และเป็นลูกสาวคนเล็กด้วย ถูกโอ๋ทุกๆอย่าง อ้อยเลยอยากตามใจพ่อแม่ทั้งๆที่ไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่
“ค่ะ..ค่ะ ตามใจแม่ละกัน แต่อ้อย ไม่มีเวลาเลยนะแม่อ้อยลาพักแป๊บเดียวเดี๋ยวต้องกลับไปทำงานต่อละ อ้อยมาเยี่ยมพ่อแม่ บ่อยๆเพราะอ้อยคิดถึงพ่อแม่” อ้อยพูดรับปากแม่ไปโดยไม่คิดอะไร เพียงเพื่อเอาใจแม่ให้สบายใจ เรื่องอื่นๆเอาไว้ก่อน เพราะแม่แก่ละด้วย แกคงอยากมีความสุข อะไรที่ทำได้ อ้อยจะทำ

อ้อยกลับภูเก็ต เก่งกลับไปสอนที่ตาก ฝ่ายแม่ของอ้อยและแม่ของเก่ง ก็จัดแจงทุกอย่าง เพื่อจัดงานแต่งงาน
โดยมีเก่งเท่านั้นที่พอรู้เรื่องบ้าง แต่อ้อยแทบไม่รู้อะไรเลย

“อ้อยเหรอลูก นี่แม่นะ สรุปแม่ไปดูฤกษ์ มาแล้วนะลูก เสาร์หน้านี้เป็นวันมงคล แม่อยากให้ลุกขึ้นมาทำพิธีแต่งงานลูก” แม่ของอ้อยพูดแบบไม่อ้อมค้อมเช่นเคย
“เอ่อ…อ…ค่ะ” อ้อยพูดอะไรไม่ถูก ได้แต่อึ้งแล้วตอบค่ะ ไปตามสายเพราะผู้ที่โทรมาคือคนที่อ้อยรักที่สุดในโลก

ทุกอย่างพร้อมสรรพ ยกเว้นว่าที่เจ้าสาว ป่านนี้วันศุกร์แล้วว่าที่เจ้าสาว ยังไม่เดินทางมาถึงบ้านเกิด เกิดอะไรขึ้น
แม่อ้อยกระวนกระวาย เพราะป่าวประกาวไปทั่วหมู่บ้าน ในขณะที่อ้อยเองก็นั่งรถทัวร์เพื่อกลับบ้านเกิดให้ทันเวลาที่แม่บอกคือวันเสาร์ เนื่องจากติดงานสำคัญในวันทำงานปกติ แต่ในที่สุด ว่าที่เจ้าสาวก็ถึงบ้านในรุ่งเช้า
ของวันแต่งงาน ด้วยความอิดโรย ด้วยการเดินทาง และ ครุ่นคิดเรื่อง แต่งงาน

ในที่สุดงานแต่งก็เริ่มขึ้น ความปลื้มปิติ ของผู้เป็นพ่อแม่ ทั้งสองฝ่ายที่เห็นลูกสาวลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาซะที
แต่หารู้ไม่ว่าความปิติ ที่เกิดวันนี้มันคือ ความโศกเศร้าในวันข้างหน้า
อ้อยแต่งงานเพราะความรักที่มีต่อแม่ แต่ก็พอจะชอบๆคนที่จะมาเป็นสามีอยู่บ้างแต่ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก
เก่งผู้ชายที่ มีแต่แม่ทำให้ทุกอย่างมาแต่เกิด แม้แต่งานนี้แม่ก็จัดการให้ทั้งหมด
เมื่อทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน แค่ช่วงข้ามคืน แล้วก็ต้องแยกย้ายกลับไปทำงานที่ตัวเองจากมา
อ้อยกลับไปทำงานที่ภูเก็ต เก่งกลับไปทำงานที่ตาก ทำให้สองคนแยกกัน แต่อ้อยก็คุยกับเก่งว่าเราจะกลับมาบ้านทุกอาทิตย์ เพื่อมาเยี่ยมพ่อแม่และใช้ชีวิตร่วมกัน วันเดือนเลื่อนไป อ้อยก็ตั้งท้องอ่อน ขณะที่ขอทำเรื่องย้ายกลับมายังสุโขทัยบ้านเกิด อ้อยค่อยข้างลำบาก แต่อ้อยก็ดีใจล้นเปี่ยมที่มีลูกค้นแรกไว้เชยชม เก่งเองก็เริ่มออกลายตอนที่ภรรยาตัวเองตั้งครรภ์ โดยที่อ้อยไม่ระแคะระคาย เพราะไกลกัน ถัดมาอีกปีอ้อยก็มีลูกคนที่สองคน
ตอนนี้อ้อย ย้ายมารับราชการที่ สุโขทัยเรียบร้อยแล้ว ทำให้หลานๆได้มียาย คอยช่วยเหลือและอ้อยก็อยู่กับแม่ที่บ้าน แต่เก่งยังไม่ย้ายกลับมาจากตาก จนวันผ่านไปลูกเติบใหญ่ ความเลยแตกเมื่ออ้อยไปเยี่ยมเก่งที่บ้านพัก ที่จังหวัดตาก ปรากฏว่าเก่งมีใครอีกคนที่จังหวัดตาก ทำให้อ้อยเสียใจมาก เสียใจอยู่นาน อ้อยเลยตัดสินใจ หย่าขาดจากเก่ง และเอาลูกสองคนนั้นไว้เลี้ยงเองแต่ผู้เดียว ก้อนกับกล้า ลูกผู้ชายทั้งคู่เป็นที่รักของย่ามาก ย่าเข้าใจสถานการณ์ว่าลูกชายตัวเองเปลี่ยนไป แต่เลือดย่อมข้นว่าน้ำ ย่ายังรักเก่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ย่าก็รักหลานๆด้วย ทำให้อ้อยต้องพาหลานๆไปหาย่า เพราะหลานๆเองก็คิดถึงย่า และก้อนกับกล้าเอง ก็คิดถึงพ่อ เมื่อแยกตัวออกไป จึงเป็นพฤติกรรมอัตโนมัติ คือ พาลูกไปบ้านย่าในช่วงเสาร์อาทิตย์ เพื่อให้หลานได้พบย่าและพ่อของเขา ซึ่งอ้อยเองทำถูกต้องแล้ว ยังไงซะเขาต้องผูกพันกันบ้างแหละ

อีกประการหนึ่งของอ้อยกระทำเพื่อทดแทนสิ่งก้อนและกล้าขาดหายไปจากสิ่งที่ควรได้รับจากพ่อ คือการชดเชย
อะไรที่อ้อยสรรหาให้ลูกทั้งสองได้ อ้อยจะสรรหามาสนอง ความต้องการลูก ลูกต้องมาที่หนึ่ง ลูกชาวบ้านเขามีอะไรลูกอ้อยต้องมีสิ่งนั้น หรือมีดีกว่าลูกชาวบ้านซะอีก อ้อยเป็นแม่ที่ดีแต่อ้อยลืมนึกไปว่า การชดเชยที่ผิดๆ ทำให้ลูกซึมซับพฤติกรรมที่ไม่สู้ดีนัก เช่น ฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ ไม่รู้จักพึ่งพาตัวเอง คิดเองทำเองไม่เป็น เพราะแม่ทำให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งการบ้านแม่ก็ยังทำให้ เพื่อลูกงั้นหรือ..(อย่าเอา อย่างนะท่านผู้อ่าน)

เก่งย้ายกลับมาสอนที่บ้านเกิดได้สำเร็จพร้อมกับพาแฟนคนใหม่มาอยู่บ้านด้วย ทำให้อ้อย นึกน้อยใจในตัวเองเล็กๆ ว่าทำไม ทำแบบนี้กับเขาได้ แต่มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ป่วยการที่จะเสียใจ ทุกวันอ้อยก็อยู่เพื่อลูกเรื่อยมา แต่อ้อยก็อดน้อยใจไม่ได้ เมื่อก้อนและกล้า ลูกชายอันเป็นที่รัก อยากไปบ้านย่า เพื่อพบพ่อ และย่า แต่พ่อกลับไม่อยู่บ้าน หรืออยู่ก็ไม่ว่างที่จะสรรทนาการด้วย เพราะใช้เวลาไปกับการไปสังเวียนไก่ ในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ก้อนและกล้า มีเวลาไปพบหน้าพ่อและย่า…ซึ่งทุกวันนี้กล้าและก้อนเองก็โตพอที่จะเข้าใจอะไรๆ แต่จิตใต้สำนึกลึกๆ ของกล้าและก้อนอยากบอกพ่อว่า

“พ่อครับผมอยากให้พ่อกอด”

ข้อคิด
- ลูกคนไม่ใช่ลูกบอล มันมีอารมณ์มีจิตใจ เลี้ยงยังไงคิดดูให้ดี
- การพนัน ไม่เคยสร้างความร่ำรวยแบบยั่งยืน
- ความรักไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคน 2 คนและจบด้วยคน 2 คนเสมอไป