วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ไม่ใช่หมาอย่าเห่า



เรื่องมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในอินเดีย มีพ่อค้าคนหนึ่งออกเดินทางไปค้าขายต่างเมือง พ่อค้าได้ใช้ลาขนของ และมีหมาไปคอยเฝ้าสินค้าเวลาที่หยุดพักค้างแรม ในระหว่างทางนั้นมีโจรดักซุ่มจะปล้นอยู่ แต่เนื่องจากพ่อค้านั้นมีอาวุธป้องกันตัวอยู่และเวลานั้นใกล้ค่ำแล้ว โจรจึงยังไม่ปล้น แต่ได้แอบติดตามไปเพื่อจะปล้นตอนที่พ่อค้าหยุดพักค้างแรม เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว พ่อค้าจึงจัดการหาที่พักแรม เนื่องจาการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยพ่อค้าจึงหลับอย่างรวดเร็ว รวมถึงหมาที่พ่อค้าหวังจะให้ช่วยเฝ้าสินค้าก็หลับด้วย มีเพียงแต่ลาเท่านั้นที่ไม่หลับ เมื่อโจรเห็นว่าพ่อค้าหลับแล้วจึงค่อยๆย่องออกมา เนื่องจากลายังไม่หลับเห็นเงาตะคุ่มๆเข้ามา ลาเห่าไม่ได้จึงได้แต่ทำเสียงฟึดฟัดดังจนพ่อค้าตื่นขึ้น โจรเห็นว่าพ่อค้าตื่นขึ้นมาจึงหลบไม่ให้เห็น พ่อค้าตื่นมาเพราะนึกว่าจะมีโจรมาปล้นแต่ก็พบว่าไม่มีอะไรและคิดว่าถ้าโจรมา ปล้นหมาก็คงจะเห่าแล้ว จึงเริ่มหงุดหงิดแต่ก็นอนต่อด้วยความเหนื่อย โจรสังเกตซักพักว่าพ่อค้าหลับสนิทแล้ว จึงค่อยย่องเข้ามาต่อ ลายังตื่นอยู่เห็นว่าเป็นคนเดินเข้ามา จึงทำเสียงดังอีกครั้ง พ่อค้าจึงตื่นขึ้น โจรจึงซ่อนตัวไม่ให้พ่อค้าเห็น คราวนี้เมื่อพ่อค้าตื่นมาไม่พบว่ามีอะไรอีก ด้วยความบันดาลโทสะที่ลาทำเสียงดังจนตื่นขึ้นทั้งที่ตนเหนื่อยมาก พ่อค้าจึงคว้าดาบฟันลาจนตาย ขณะนั้นเองเมื่อโจรเห็นว่าพ่อค้าคว้าดาบขึ้นมาจึงคิดว่าพ่อค้ารู้ตัวแล้ว เลยแสดงตัวปล้น พ่อค้าพอเห็นโจรก็ตกใจ มองไปหาหมาว่าทำไมไม่เห่า ก็พบว่าหมากำลังหลับอยู่ จึงโกรธมากฟัดหมาตายก่อนที่จะสู้กับโจร แต่ด้วยพ่อค้าเหนื่อยและสู้กำลังโจรไม่ได้จึงถูกโจรทำร้ายได้รับบาดเจ็บ เมื่อพ่อค้าบาดเจ็บแล้วโจรจึงชิงสินค้าและของมีค่าหนีไป ผลสุดท้ายของเรื่องคือ ลาต้องตาย หมาต้องตาย และพ่อค้าเสียของไปทั้งเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

หากพิจารณาข้อคิดจากตัวละครในเรื่องแต่ละตัวจะพบว่า

“ลา″ ตายก่อนเลย จากการทำเกินหน้าที่ อยากจะเห่าแทนหมา ถึงแม้จะด้วยความหวังดีก็ตาม ข้อคิดคือ ต้องรู้จักหน้าที่ว่าตนรับผิดชอบแค่ไหน มีหน้าที่อะไร แต่หากพบเห็นหรือจะชี้แนะอะไรที่เกินอำนาจหน้าที่ของตน ก็ต้องรู้จักนายของตนว่าเป็นอย่างไร เป็นคนที่รับฟังหรือเปล่า เพราะหากเราไปพบเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมหรืออะไรที่ผิดปกติ แล้วแจ้งให้นายทราบ ถ้าไม่ฟังเฉยๆก็ยังไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าเกิดไม่ฟังแล้วยังไม่พอใจด้วย หรือเกิดไปเข้าหูคนที่เขารับผิดชอบเรื่องนั้นอยู่จนเขาไม่พอใจ ความเดือดร้อนอาจจะกลับมาที่ตัวเราแทนก็ได้ ประเด็นนี้อาจจะไปถึงการรู้จักเลือกนายที่จะทำงานด้วยว่าเป็นคนที่ต้อง รู้จักรับฟัง แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็ต้องรู้จักเวลาและอารมณ์นายว่าเวลาใดควรเวลาใดไม่ควร

“หมา″ ไม่รู้จักทำหน้าที่ของตน นายให้ทำหน้าที่คอยดูแลสินค้า แต่ดันนอนหลับ ก็ตายเหมือนกัน ข้อคิดคือ ในการทำงานนั้นเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำสิ่งใด ก็ต้องทำให้เต็มที่ ถึงแม้จะต้องลำบาก ก็ต้องทำเพราะได้รับมอบหมาย เพราะถ้าเมื่อใดไม่รับผิดชอบตามหน้าที่ อาจจะไม่ได้รับผลในทันที แต่หากวันใดเกิดปัญหาหรือความจริงที่เราละเลยหน้าที่ปรากฎขึ้นมา เราคงจะต้องถูกลงโทษหรือได้รับผลจากการกระทำของเราแน่นอน

“พ่อค้า″ ไม่พิจารณาอะไรให้ดีก่อน จนเสียทั้งลา หมา สินค้า และตัวเองก็เกือบไม่รอด ข้อคิดคือ ถ้าต้องเป็นนายต้องรู้จักรับฟัง พิจารณาในสิ่งที่ได้รับฟังหรือข้อเสนอแนะจากลูกน้อง ไม่ตัดสินอะไรด้วยอารมณ์ บางครั้งถ้าลูกน้องเสนอแนะหรือทำอะไรในเรื่องที่เขาอาจจะไม่ได้รับผิดชอบ แต่ก็ต้องพิจารณาว่าเขาทำเพราะอะไร อาจจะทำเพราะหวังดีก็ได้ และในส่วนของผู้ที่เราได้มอบหมายงานไปก็ต้องคอยดูและสอดส่องว่าทำงานตามที่ มอบหมายไม่ละเลยหรือไม่ ไม่เชื่อมั่นหรือมั่นใจในผู้ที่ได้รับมอบหมายจนเกินไปก่อนที่จะตรวจสอบให้ดี

แต่หากพิจารณาข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ในภาพรวมก็คือ ในทำงานหรือการดำเนินงานใดๆ ทุกคนต้องรู้หน้าที่ของตน เพราะถ้าเมื่อใดที่ไม่ทำตามบทบาทและหน้าที่ของตนแล้ว จะสามารถนำมาซึ่งความเดือดร้อนแก่ตนเอง และความเสียหายขององค์กรได้

และสุดท้ายขอฝากเป็นข้อคิดถึงคนที่ยังเป็นลูกน้องอยู่ว่า จากในนิทานนั้นสุดท้ายเมื่อเกิดปัญหาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลาหรือหมาที่เป็นลูกน้องนั้นตายทั้งคู่ แต่พ่อค้าซึ่งเป็นเจ้านายก็แค่บาดเจ็บและเสียทรัพย์สินและก็ยังคงรักษาชัว ิตไว้ได้ ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรหนีให้ไกลเจ้านายแบบนี้ แต่ถ้าหนีไม่ได้ การทำงานให้ถูกต้องซื่อสัตย์ตามหน้าที่รับผิดชอบของตนก็จะเป็นเกราะป้องกัน เราจากความเดือดร้อนได้

ขอขอบคุณบทความจาก
http://catadmin.cattelecom.com/km/blog/kesmanasm/2008/02/16/dontdog/#more-82