อิสลาม101
บุญนำพาวาสนานำส่ง มาหลงรักสาวอิสลามตามงามหยดย้อย หัวใจน้อยๆเลยต้อง ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของหลักอิสลาม
"ขลิบ" ขลิบคือการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ในความคิดของผมคือแค่ส่วนปลายๆหนังอวัยวะเพศ
แล้วเกิดคำถามตามมาในใจ "ทำไมต้องขลิบ?" ก็เลยหาข้อมูลการขลิบมีผลดียังไง ผลเสียยังไง แล้วมาสรุปด้วยตนเอง
ผลดีคือ สารคัดหลั่งที่ออกมาจากปลายอวัยะเพศ ไม่ต้องค้าคาหมักหมม ในบริเวณหนังหุ้มปลาย
คำตอบนี้ผมก็ตอบคำถามตัวเองว่า "เราก็ทำความสะอาดทุกครั้งที่อาบน้ำนี่นา"
ผลเสียคือ ท่าทางเจ็บแน่ๆ แค่มดกัดก็แทบตาย ปลายอวัยวะเพศไม่เคยเอาออกมาชมโลกภายนอกมันต้องเสียดสีกับ กกน. มันต้องรู้สึกระคาย และอาจจะไวต่อการตอบสนองไหมเนี่ย เกิดมันด้านทำไงเนี่ย
บทสรุป ผมปลอดแหกมากไปไหม พยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมากไปหรือปล่าว แค่นี้ก็ไม่กล้า
และที่สำคัญคือไม่กล้าทำเรื่องแค่นี้ให้กับคนที่เรารัก "มันจะเจ็บสักแค่ไหนเชียว" ว่าแล้วก็ฮึดสู้ขึ้นมา
เอ่... ว่าแต่ว่าอายุปูนนี้ ที่ไหนเขาจะรับทำให้เนี่ย เลยไปปรึกษาลุงที่นับถือกันเขาแนะนำให้รู้จักหมออิสลามท่านหนึ่ง ทำไมต้องหมออิสลาม ก็เพราะเขาทราบดีว่าควรจะทำยังไงกับของรักของหวงเราหนะสิ
ว่าแล้วก็ไปนัดหมอ และก็ไปตามนัด วันนัดมีหมอคนเดียว แต่วันทำดันมีผู้ช่วยหมอเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
ทำทีเป็นหลบก่อน แต่ตอนหลังก็มาวนๆเวียนๆที่ของรักของหวงของผม
จินตนาการขั้นตอนการขลิบของผม แก้ผ้า-ทายาฆ่าเชื้อ-ทายาชา-ฉีดยาชา-ตัดส่วนปลายของหนังหุ้ม
ขั้นตอนเกิดขึ้นจริง แก้ผ้า-นอนปิดตา-ทายาฆ่าเชื้อ-ปักเข็มฉีดยารอบๆอวัยวะ(สะดุ้งเฮือก)-ตัดหนังเกลี้ยงสนิท-เย็บแผลเพื่อห้ามเลือด
ตอนที่หมอบอกให้ผมแก้ผ้าไปนอนที่เตียง ก็เห็นมีหมอคนเดียว ผมเลือกไปทำที่คลินิค เพราะคิดว่าถ้าไปทำที่ โรงพยาบาลคงอาย พยาบาลเผลอๆอาจจะเป็นกลุ่มนักศึกษาแพทย์มารุมดู แต่ที่คลินิค ก็ไม่เว้นมีพยาบาล
ผู้ช่วย ทีแรกทำทีเป็นหลบผมไป ตอนแก้ผ้า พอผมนอนลงเอาผ้าปิดตาผมไว้ อาจจะเพื่อลดแรงกดดันผมถ้าผมเห็นของรักของหวงผมเลือดอาบ พอผ้าปิดตาเสร็จ ผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกับคุณหมอ "อ้าวมาแต่เมื่อไหร่เนี่ย" แต่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกอายละ เพราะเข็มยาชาทะยอยปักทีละเข็มสองเข็มรอบๆ เจี๊ยวผม
"แพ้ยาอะไรไหมครับ" หมอถามผมด้วยเกรงว่าจะแพ้ยาชาที่จะฉีด
"ไม่เคยครับชนะตลอด" ผมตอบแบบ อดปากดีกะหมอไม่ได้
"เคยถอนฟันไหมครับ" ผมตอบ "เคยครับ" ผมก็งงเล็กน้อยว่าเกี่ยวอะไรกับถอนฟันนี่จะมาขลิบ
แต่ด้วยไหวพริบอันชาญฉลาดของผมก็นึกได้ว่า หมอกำลัง ตรวจสอบว่าผมใช้ยาชามาก่อนหรือไม่
"รู้สึก ชายังครับ" หมอถามผมที่นอนอยู่เพื่อเช็คอาการตอบสนองต่อยา
"ความรู้สึกว่า จู๋หายไปไหน ไม่รู้ครับ เหมือนไม่มีส่วนนั้นในร่างกาย" ผมตอบหมอไป
"เอาละเดี๋ยวหมอทดสอบ ละนะ" ว่าแล้วผมก็ได้ยินเสียงกรรไกรดัง แกร๊ก! หมอตัดหนังส่วนปลายหนึ่งที
"อืม..น่าจะไม่เจ็บละงั้น หมอลงมือละนะ" หมอบอก
"ครับ ลุยเลยครับ เอาให้สวยงามเลยนะหมอครับ" ผมบอกด้วยอาการ ยังรักสวยรักงาม
"ไม่ต้องห่วงครับ จะทำให้แจ่ม" ว่าแล้วหมอก็ ตัดๆเหมือนราวกับการตัดผ้า ขณะเดียวกัน ผมรู้สึกว่าเลือดผมไหลโชกไปที่หว่างขา ช่วงนั้นหมอกับพยาบาลก็ประสานงานกันราวกับวงดนตรีวงใหญ่
"หมอครับ ท่าทางเลือดผมไหลเยอะ" ผมบอกหมอไป
"คุณเห็น รึ" หมอหันมาถามผมด้วยความแปลกใจ
"ปล่าวครับ ผมรู้สึกมันไหนไปตรงหว่างขาผม" ก็ผมรู้สึกว่ามันมีของเหลวไหลๆ
ว่าแล้วพยาบาลก็ซับเลือดที่หว่างขา ครั้งแล้วครั้งเล่า
"เสร็จละ เอาละน่าผมจะเย็บห้ามเลือดละนะ" หมอบอก
"ด้ายละลายหรือปล่าวครับหมอ" ผมถามด้วยความกังวลตอนจะถอดได้
"ครับราว 20 วันก็หลุดเอง" หมอบอกพลางสอยไปรอบๆ
"เอ้าา..เสร็จละ เปิดตาได้" หมอบอกผมเปิดตา มาดูผลงานของหมอ
ภาพแรกที่ผมเห็นผมนึกถึงคนที่เอาคอไปเข้าเฝือกมันโดนรัดคอซะแน่นหนาจนหน้ามันเขียว
"เดี๋ยวอีกสองวันให้เอาผ้าพันแผลออกเองได้เลยนะครับ" หมอบอก
"ครับหมอ หมอครับยาชามีฤิทธิ์นานแค่ไหนครับ" ผมอยากรู้เพราะผมขี่มอเตอร์ไซต์มาหนะสิ
"สองชั่วโมง ขับรถกลับสบายมาก" ผมสังเกตุว่า หมอ ใช้คำว่าสบายมาก ง่ายมาก เจ็บนิดเดียว สะดวกมากกะผมบ่อยๆ แท้ที่จริงแล้วมันคือจิตวิทยาหมอนี่เอง
ผมเดินมาจ่ายเงิน 1 พันบาท ที่เคาท์เตอร์ หมอก็บอกจ่ายยา สองชนิด พาราเซตามอนแก้ปวด และ ยาแก้อักเสบอีกหนึ่งชุด "เงินที่จ่ายนี่ผมจะเอาไปทำบุญ โดยไม่หักค่ายใช้จ่าย ให้กับคนที่อยากทำสุนัต แต่ไม่มีเงิน" หมอหันหน้ามาบอกผม ถึงเงินที่ผมจ่าย ก็นึกปลื้มๆในใจกับหมอท่านนี้
ผมก็ขับรถกลับบ้าน ไม่ได้ลำบากมายมายอะไรเพราะ ยายังไม่หมดฤิทธิ์ จนถึงบ้านเวลาผ่านไปราวสองชั่วโมงตามที่หมอคาดการณ์ ความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ "เจ็บก็ทน ช้ำก็จะทน รักเธอจน ไม่มีหัวใจให้ใคร" ว่าแล้วสาวเจ้าก็โทรมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ครั้นจะตอบว่าเจ็บจนนอนไม่หลับ ก็มันจะดูไม่แมนซะงั้นเลยตัดสินใจตอบไปว่า ไม่เป็นไรมากหรอกสบายสบาย แท้จริงแล้วเจ็บมาาาาากในคืนนั้นคืนเดียว
ผมขลิบตอนสองทุ่ม ตั้งแต่เริ่มจนสว่าง ผมนอนไม่ได้เพราะเจ็บ
เวลาผ่านไปวันแรก ผมมีืท่าเดินแบบ นกเพนกวิน และอย่าคิดว่าผมจะใส่กางเกง ผมแก้ผ้าเดินไปเดินมาในบ้านคนเดียว ตลอดสองวันแรก ผมตุนเสบียงไว้พร้อม กะว่าจะไม่ไปไหนราวๆสามวันได้สบายมาก
วันที่สองเจี๊ยวผม หน้าตาเหมือน Chucky (หนังเรื่องแค้นฝังหุ่น) มันเริ่มบวมเป่ง จนหน้าตกใจ ตายละคลีนิึึคหมอดันไม่เปิดวันอาทิตย์ผมต้องรอวันจัทร์หรือเนี่ย (ผมขลิบคืนวันศุกร์) พอเช้าวันอาิทิตย์มันไม่มีวีแววจะหายบวมแถมพองเป็นลูกโป่ง ผมเลยตัดสินใจเปิดผ้าพันแผลในวันอาทิตย์ ค่อยๆเอากรรไกรนั่งแทะ นั่งเลม
อยู่คนเดียวนานนับชั่วโมง ผ้าพันแผลเจ้ากรรมดันแห้งติด ร้องอิ๋งๆ เป็นช่วงช่วง
วันที่สามวันอาทิตย์ มันไม่มีวี่แววจะหายบวมแต่อย่างใด เริ่มกังวลใจ เลยหาเบอร์โทรศัพท์หมอ แล้วโืทรไปหาหมอ หมอบอกว่า สบายมาก (ตามเคย) วันจันทร์แวะเข้าไปคลินิคหาผมนะ
วันจันทร์ ผมไปหาหมอตามนัด ผมยืนเปิดเจี๊ยวให้หมอชมเจ้า Chucky น้อยแล้วหมอก็เอาไฟฉายมาส่งดูแล้ว "ไม่มีหนองใช่ไหม" ผมตอบว่า "ไม่เห็นมีนะครับ"
"อืมม สบายมาก สองสามวันก็ปกติ กินยาให้หมดแล้วก็พอ" (อีกแล้วครับท่าน ไม่มีปัญหาตลอด)
เวลาผ่านไปอีกราวอาทิตย์ ผมก็ดูจะหายปกติจากบาดแผลที่ขลิบ แต่เรื่องตลก หรือไม่ตลกไม่ทราบช่วง
อาทิตย์แรกรวมมาถึงอาทิตย์ที่สอง เวลาเช้า เจ้า chucky น้อยมันจะเคารพธงชาติ (ท่านชายรู้) ช่วงนั้นเป็นอีกช่วงที่เจ็บ เพราะมันถูกด้ายเย็บรั้งเอาไว้ มันยืดตัวลำบาก ผมต้องตื่นขึ้นมาแล้ว ข่มใจ
"โอมมมเจ้า จงลงไป เดี๋ยวนี้ ๆ ๆ "
สองอาทิตย์ผ่านไปดูทุกอย่างปกติจวบจนปัจจุบันนี้....แล
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น