วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2551

อึ...ให้แม่กิน

ปีนี้ ลมหนาว พัดกองไฟ ที่ลุกโชน อยู่ ผม แม่ และน้อง นั่งข้างกองไฟ พร้อมผ้าห่มผืนหนา…

ทั้งๆที่คนทั่วไป เขาคงเข้านอนแต่หัวค่ำเพราะอากาศที่หนาวเย็น แต่แถบนี้เป็นอิสานตอนบน คนมักสุมไฟผิงกัน เป็นหย่อมๆ ทั่วบริเวณส่วนเสื้อกันหนาว ไม่เพียงพอหรอก เราถึงต้องลากผ้าห่ม มาห่ม และผิงไฟ พูดเรื่องราวต่างๆกัน

"บักโม่ง มึงรู้ไหม เมื่อตอนเด็กๆ มึงอึให้แม่กิน" แม่เอื้อนเอ่ย เปิดประเด็น
(ความจริงต้องเป็น sound track ล้วนๆแต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้
ท่านผู้อ่านไม่ต้อง เสียพลังงานในสมองมาก ผมจึงแปลให้เสร็จสรรพ แม้อรรถรส จะขาดหายไปบ้างแต่ดีกว่า งง)

“ไม่เชื่อ แม่อย่ามาหลอกผมเลยดีกว่า" ผมตอบสวนทันควัน เพราะผมไม่คิดว่าผมจะอึ ให้แม่กิน

และผมคิดว่าแม่ผมเองคิดว่าอึผมจะอร่อยด้วยถึงต้องยอมกินอึผมเข้าไป

"มันไหม้ แล้ว มันไหม้แล้วพี่" เสียงน้องชายผม ร้องเรียก บอกผมให้คุ้ยเขี่ย เม็ดมะขามที่หมกซุกขี้เถ้าอยู่ให้เอาออกมาได้แล้ว จะได้เอาเม็ดมะขามชุดใหม่เข้าไปแทน ผมบรรจงเขี่ยเม็ดมะขาม ออกจากขี้เถ้า (ราวกับเก็บกู้ระเบิด) แล้วใส่จานสังกะสี ดัง แกร้งๆๆ เม็ดแล้วเม็ดเล่า ต่างคนต่างหยิบไปทำการสต๊อก เม็ดมะขามไว้ในมือ ..พร้อมเอามือถูเพื่อทำความสะอาดผิวเม็ดมะขาม แล้วหยิบเข้าปาก แล้วก็เกิดสนามรบเล็กๆในปากแต่ละคน…เพราะเสียงเคี้ยวเม็ดมะขามหมก ดังสนั่น.

"จริ๊ง เอ็งอึให้แม่กิน จริงๆ" แม่ยืนยันความทรงจำ

"แล้วแม่ กินอึผมทำไม แม่" ผมย้อนถาม เพราะผมก็คิดว่า อึ มันไม่น่าอร่อยในความคิดผม หรือความคิดใครๆ

น้องชายผมทำท่าทางสนใจ พร้อมกับสร้างสนามรบในปากตัวเอง โดยการทะยอย ส่งกองกำลังเข้าไปในสนามรบเป็นระยะ (เม็ดมะขามหมก)แล้วก็เอียงหูฟังผมและแม่คุยไป

"แม่จำเป็นต้องกิน เพราะตอนนั้นแม่หิว และไม่มีทางเลือกอื่น" แม่ทำหน้ายิ้มๆ แต่ผมนึกในใจ เอ่…ขนาดนั้นเชียวรึเนี่ย

"เรื่องเป็นไง แม่ เล่าให้ผมฟังหน่อย" ผมถามไปมือก็ใช้ไม้เขี่ยเม็ดมะขามหมก ที่หมกในขี้เถ้าใกล้ๆไฟ ออกมา ส่วนน้องชายผมก็ เคี้ยวเม็ดมะขามหมกอย่างเมามัน…..

“ตอนนั้นเอ็งยังเล็กมาก พอคลานได้นี่แหละ แม่ต้องกระเตง เอ็งใส่เป้ (ผ้าขาวม้า อุ้มเด็กมันสะพาย แล้วเบี่ยงไปข้างหลัง) แล้วออกไปท้องนา พร้อมกับruคนอื่นๆ ที่พอทำนาได้ รวมถึงพ่อเอ็งด้วย" ว่าแล้วแม่ก็ส่งกำลังพล 1 นาย(เม็ด) เข้าสนามรบ..เสียงระเบิดดังตูม แล้วแม่เล่าต่อ

"พอไปถึงทุ่งนา (สมบัติชิ้นเดียวของตระกูล) แม่ต้องไปช่วยเขาดำนา แต่มันติดตรงที่เอ็งตัวเล็ก และติดแม่นี่แหละข้าจะปล่อยเอ็งไว้ยังไงหล่ะ" แม่พูดไปพลาง ขำล่วงหน้าไปก่อน ราวกะว่า จะมีเรื่องให้ขำในช่วงต่อไป..แล้วแม่ก็เสริมกำลังพลเข้าไปอีก 1 นาย ทั้งๆที่ฟันแก ก็ไม่อำนวย ผมเดาเอาว่ากำลังพลนายนี้ไม่ได้โดนฟันกรามขม อาจจะเป็นพลซุ่มยิง (อมให้มันเปื่อยๆก่อนแล้วค่อยว่ากัน)

"แล้วแม่ทำไง กะมันแม่" น้องชายของผมเอ่ยขึ้น ด้วยความอยากรู้ (เราห่างกันแค่ปีกว่าๆ น้องผมจะเรียกผมว่า มัน เสมอๆ) แน่นอน สนามรบน้องชายผมมันรบกันสนั่นหวั่นไหว เพราะมันมีคุณภาพฟันที่ดี..

"เออนั่นสิ แม่ แม่ทำไงกะผม จับมันใต้ต้นมะขามที่หัวนารึแม่" (หัวนาคือ ส่วนตรงข้ามกับปลายนา) ผมถามด้วยความอยากรู้ แล้วส่งกำลังพลเข้าเสริมทัพ อีก 1 นาย

"เอ็งก็พูดไปเรื่อย ถ้าแม่ ทำแบบนั้นมด ไม่กัดแกตายรึ และอีกอย่างแกพึ่งคลานเป็น แม่ไม่ให้แกไปคลุกดินแบบนั้นหรอก" แม่พูดไปท่าทางฉุนเล็กๆกับความคิดผม..ราวกะแม่ไม่ใส่ใจงั้นแบบนั้นแหละ

"แล้วแม่ทำไงหล่ะ แม่ เล่า เล่า" ผมคะยั้นคะยอ ให้แม่เล่า

"เอาไว้ ห้างนาสิ แม่ขังเอ็งไว้บนห้างนา เพราะ มัวแต่ดูเอ็งคนเดียว แม่ก็ไม่ได้ไปช่วยเขาดำนาซะที" แม่ตอบ ผมคิดว่าแม่ไม่อยากเสียเวลาดูแล ผมแล้วเสียโอกาสในการไปช่วย พ่อ และ พี่ในการดำนา แต่ในใจก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เลยเอ่ยปากถามว่า

"เอ๋า แล้วแม่ไม่กลัวผมตกห้างนาคอหักตายรึ แม่" ผมถามด้วยความคาใจ

"อ๋อ พ่อเอ็งเขาทำคอก รอบห้างนา มีพื้นที่ให้แกคลานสะใจ และอยู่สูง พอที่จะมองเห็นเอ็งคลานไปคลานมาในระยะไกล ขณะที่แม่ดำนา" แม่ตอบด้วยความภาคภูมิใจใน นวัตกรรม ของแม่ แล้วไปสั่งพ่อ โคนต้นไผ่ มาทำคอกกันผมตกนา..

"แม่ ผมฟังมาตั้งนาน แล้วแม่ไปกินอึบักโม่ง ตอนไหน" น้องชายผมถามเพราะแม่ไม่ไปถึงเป้าหมายซะที

"เออ นี่แหละๆ ตอนนี้แหละ " แม่ตอบ

ปกติแล้ว ชาวนาเต็มขั้นจะกินข้าวเช้า สายเกือบเที่ยง กินข้าวเที่ยงแทบจะเย็น เลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องปกติ และอีกอย่างวิทยุทรานซิสเตอร์ กับหัวคันนาเป็นเรื่องที่ขาดกันไม่ได้ เสียงมันจะดัง กล่อมคนที่ทำนา ตลอดเวลา แม่จัดแจงให้ผมกินนม(เหี่ยวๆ) ของแม่เพื่อไม่ให้ผมร้องไห้ เวลาแม่ลงไปช่วยเขาทำนา

แม่บอกว่าใช่ว่าน้ำนมแกจะมี แต่ผมก็ชอบที่จะดูด แล้วผมหลับไป….แล้วแม่ก็วางผมลงบนเสื่อ แล้วก็ลงจากห้างนาไปช่วย พ่อและพี่ดำนา และแม่เอ็งก็ไม่ลืมที่จะ แลดูคอกที่ขังผม อีกทีเพื่อมั่นใจว่ามันจะกันผมได้..แล้วแม่ก็เดินไปที่แปลงนา

"แง้ แง้ แง้ ….." เสียงผมร้องดังลั่น

เวลานั้นแม่บอกว่านี่มันจนบ่ายโมงแล้ว ได้ยินเสียงแก แหกปากร้องมาจากห้างนา แม่แหงนหน้ามองไปที่ห้างนา

พลางปักกล้าข้าว ไปพลาง พอพูดถึงตรงนี้คิดถึงหัวอกแม่ห่วงลูก แต่แม่ต้องทำงาน แม่จำต้องก้มๆเงยๆผมเป็นระยะๆ..แต่แปลงนาเหลือประมาณอีก

ครึ่งแปลงก็จะเสร็จการดำนาแปลงนี้ ทุกคนในครอบครัว ลงมะติให้แม่มาดูผมพร้อมกับหุงหาอาหารรอ เพื่อที่จะได้ขึ้นมากินเมื่อเสร็จแปลงดังกล่าว

แม่รีบขึ้นมาจากแปลงนา ด้วยความรีบร้อน เพราะผมแหกปากร้อง ไม่หยุด

"โอ๊ะ ๆโอ๋ๆ" เสียงแม่ปลอบผมแล้ว ก็ถลกนมเหี่ยวๆของแม่ให้ดูด แล้วแม่ก็แกะห่อหมกข้าว (แม่จะเคี้ยวๆข้าวให้ละเอียดในปาก แล้วเอาไปห่อใบตองหมก มันจะหอมๆ) แล้วแม่ก็ป้อนผมกับกล้วยที่เตรียมมา 2 ลูก.. จากนั้นผมก็ตบท้ายด้วยดูดนมแม่อีก แล้วก็หลับอีกสงสัยเพราะเหนื่อยจากการร้องตะกี้

พอผมหลับแม่ก็จัดแจง วางผมลงแล้วก็ไปจัดการ ต้มปลาช่อนตัวเขื่อง ที่พ่อขังไว้ในตุ่ม ที่พ่อหามาได้จากการวาง ลอบ (เครื่องจับสัตว์น้ำ) การหุงหาอาหารของชาวนามักจะ หุงหาใต้ถุนของห้างนา โดนใช้ก้อน 3 เส้า (หินสามก้อน) แม่รีบก่อไฟแล้ว ตั้งน้ำร้อนด้วยหม้อใบที่เรียกได้ว่า ไม่น่าจะเรียกว่า หม้อได้ (ผมโตขึ้นผมยังจำได้ มัน ถูกปะผุด้วย อลูมิเนียมบางๆปะหลังคาแทบจะรอบก้นหม้อ และดำสนิทด้วยไฟลน) แม่จัดการต้มปลาทันที

ผ้าถุงเลอะขี้โคลน ยังไม่ทันแห้ง แม่ต้องรีบลงไปช่วยพ่อและพี่ในการดำนาต่อ ให้เสร็จๆ ปล่อยให้ผมนอนบนห้างนา และหม้อปลาตั้งน้ำรอการกลับมากิน

พอเวลาผ่านไป ระยะหนึ่ง

"แง้ ๆๆ แง้ๆๆ " เสียงผมร้องลั่น (อีกแล้ว)…

แม่หยุดชงัก แล้วมองไปยังห้างนาที่ผมอยู่ เห็นผมกำลังคลานไปคลานมาป่วน อยู่บนห้างนา แล้วแม่ก็ก้มลงดำนาต่อไป

"ปล่อยมันก่อน เดี๋ยวเอา แปลงนี้ให้เสร็จๆ ค่อยไปดูมัน" แม่พูด บอกพ่อและพี่ แล้วพลางจ้ำดำนาต่อไป ราวกับยิงรวด

"มันตั้งขี้ร้องไห้ แบบนี้มาแต่เด็กแล้ววแม่ มิน่า มันขี้แย" น้องชายผมแซว ในขณะน้องชายผมเองก็เริ่มสะต๊อก เม็ดมะขามไว้ในอุ้งมือ

"เอ้ย…หามาด้วยกันเอ็งไปกินคนเดียวได้ไง" เริ่มปะทะคารมแย่งเม็ดมะขามหมกระหว่างผมกะน้อง

"หยุดๆ ทะเลาะกันอยู่ได้ เอานี่ไป…" แม่ยื่นเม็ดมะขามที่ยังไม่ได้หมกให้ผม แล้วผมก็รับไปหมกต่อ

"แล้วพวกเอ็งจะฟังต่อ ไหมเนี่ย" แม่ถาม พร้อมกับตวัดผ้าห่มบางๆ ไปทางต้นคอด้านหลัง

"ฟัง ฟัง ฟัง ครับ" ผมกับน้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน…แล้วก็เสริมกำลังพลเข้าไปในสนามรบ

ในที่สุดแปลงนาแปลงนั้นก็ถูกดำเสร็จ เวลาปาเข้าไปเกือบบ่ายโมง บอกได้คำเดียวว่าทุกคนเหนื่อยและหิวมาก จากคำบอกเล่าของแม่

"ป่านนี้ ปลาช่อนต้มคงสุก ละ รีบไปดูบักโม่ง" แม่รีบวางกำกล้าข้าวที่เหลือชำน้ำไว้ แล้วรีบดิ่งขึ้นมาที่ผม พี่สาวหิ้ววิทยุ พ่อก็เดินตามมาติดๆ

แม่มาถึงห้างนาก่อนใคร เสียงผมร้องลั่นไม่หยุด แม่รีบขึ้นไปหาผมบนห้างนา ผมรีบคลานมาหาแม่ พร้อมกับสีเหลืองอ๋อยตัวตัว ใช่แล้วครับ

ผม อึ! และเลอะไปทั่วบริเวณ..แม่เหลือบลงไปดูหม้อต้มปลาที่อยู่ใต้ถุนห้างนาเบื้องล่าง น้ำต้มปลาสีเหลืองอ๋อย แทบจะเป็นสีเดียวกัน ชนิดเข้าน้ำเข้าเนื้อ….

"55555 จะกินได้" น้องชายผมแซวอีกแล้ว ไม่วายเสริมทัพอีก 1 นายเข้าปากไป

"บักโม่ง เอ้ยยยย"….แม่พูดกับผม ทีท่าบ่นไปงั้นแหละ ผมไม่รู้เรื่องหรอก พลางอุ้มผมลงจากห้างนา ไปล้างตัวแล้วเอาผมหนีบเอว..

จากนั้นแม่ก็ตรงไปยังหม้อต้มปลาช่อนที่กำลังเดือดพล่าน..

"โอยยยย บักโม่งเอ้ยยยย" พ่อมาถึงเห็นหม้อต้มปลาช่อน ที่เหลืองอร่าม พร้อมกับทำทีท่า หมดอารมณ์ พ่อส่ายหัว..พี่ คนอื่นก็ไม่ต่างกะพ่อเท่าไหร่นัก

ผมเชื่อว่าอารมณ์นั้น ถ้าผมโตหน่อย อาจจะโดนประหารไปแล้วก็ว่าได้..

"เออ น่าา ปลามันยังเป็นตัวดีอยู่ พอกินได้ๆ" แม่พูดไปพลางรินน้ำต้มปลาออกจากหม้อ แล้วก็เอาตัวปลาใส่จาน

"ใครจะกินก็กินเหอะ กูไม่กิน" พ่อเอ่ยขึ้น ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ในขณะที่แม่เอาปลาช่อนไปล้างน้ำเพื่อลบล้าง มลทินที่ผมก่อออกให้หมด

"เนื้อแดดเดียวทอดอยู่ไหน" พ่อถามหาเนื้อแดดเดียวที่ทอดมาจากบ้านมีอยู่ 2-3 ชิ้น

จากนั้นพ่อก็ปั้นข้าวก้อนโต้พร้อมกับเนื้อแดดเดียว 2 ชิ้นเดินห่างออกไปจากห้างนา

"มะ ใครจะกินกะแม่ ก็มา" แม่เรียกพี่ๆ แล้วแม่ก็เริ่มเปิดกระติบข้าวเหนียวเปิบ กับปลาที่ล้างมากับ ปลาร้า เป็นน้ำจิ้ม

ส่วนผมก็โดนพี่สาวอุ้มไป ต่อว่า…….(ช่วงนี้แม่ไม่บอกว่าพี่ว่าอะไรผม ถึงว่าอะไรผมก็ไม่เข้าใจหรอก)

ไม่มีใครกินข้าวกะแม่ แม่กินปลาหมักอึ ผมอย่างอร่อย ส่วนพี่สาวก็กินข้าวกะปลาร้า วงแตกต่างคนต่างไป..

มาถึงตอนนี้น้ำตาผมแทบร่วง….ผมเป็นเหตุให้ทุกคนไม่ได้กินอะไรๆ และผมเป็นเหตุให้แม่ผมกินปลาต้มหมักอึผม…

"แม่ครับ ผมเสียใจ ผมขอโทษครับแม่" ผมพูดกับแม่แล้วก็เข้ากอดหอมแก้มแม่

"มึงนี่น้าาาาา….เรื่องดีๆมีไหมเนี่ย" น้องชายผมพูดสวนขึ้นมา

"อืมม…อากาศเย็นมาละลูกกลับขึ้นบ้านกันเถอะ" แม่ชวนผมและน้องขึ้นบ้านนอน

ผมกะน้องก็แยกไม้เชื้อไฟ ออกจากันแล้ว ก็เก็บพลทหารที่เหลือใส่จาน เพื่อที่ไปแช่น้ำเกลือ ให้มันเปื่อยและกิน ในวันต่อไป

แล้วพากันขึ้นบ้านไป…

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ดีจังครับ ยิ่งอ่านยิ่งคิดถึงวัยเด็ก
งัย ฉาย จะติดตามอ่านข้อเขียนของคุณนะครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ