บ้านนอกคอกตื้อ การมีส้วมซึมเป็นของตัวเองถือว่า เป็นสิ่งที่มีค่ามาก ถูกนับหน้าถือตา เพราะเป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป และสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า “บ้านฉันมีส้วมซึมเป็นของตัวเอง” พ่อผมเองก็ถือว่าเป็นคนที่อยากจะให้สังคมในหมู่บ้านนับหน้าถือตาเช่นกัน แกก็ลงทุนขุดหลุมวางท่อเองเมื่อสมัยผมยังเยาว์วัย เวลาผ่านไปหลายปีดีดัก ส้วมใช้งานได้ดีมาก และทุกคนก็ใช้มันสุดคุ้ม ไม่ใช่เอมริกันแสตนดาร์ดชุดหรู แต่มันคือซิเมนต์หล่อเป็นโถนั่งยองธรรมดาๆนี่แหละ แต่มันก็สะดวกกว่าเมื่อยังไม่มี ก่อนนี้ดึกดื่นเที่ยงคืนเมื่อปวดท้องที ต้องวิ่งโร่เข้าไปยังป่าถัดจากบ้านไปไม่ไกลนัก เพื่อทำธุระนั้น บางครั้งก็ซวยซ้ำว่าเดิม ไปเจอกับระเบิด ที่คนอื่นปล่อยไว้ก่อนหน้านี้ หรือไม่อาจจะเป็นของเราเองแหละ นี่ยังไม่นับที่ต้องนั่งอยู่ในวงล้อมของกับระเบิดนั้นด้วย กินโชยมาตามกระแสลมราวกับสารพิษ แต่ก็ต้องทนเพราะมีภารกิจที่สำคัญกว่า และสิ่งที่ทำมานานก็กลายเป็นอดีตไป เพราะพ่อมีส้วมซึมเป็นของตัวเอง
“ดูดส้วมไหมครับๆๆ” เสียงรถดูดส้วมวิ่งเอื่อยๆผ่านหน้าผมพร้อมกับการตระโกนของคำขับรถไปตามทางลูกรัง
“บักโม่ง มึงไปเรียกรถดูดส้วมกลับมาเร็ว” พ่อเรียกผมเสียงดังขณะรถดูดส้วมคลาดสายตาลูกค้าเช่นพ่อ
“เรียกมาทำไมพ่อ” ตั้งแต่โตมาไม่เคยเห็นพ่อเรียกรถดูดส้วมหยุดซะที แต่ผมมาเข้าใจในภายหลังเพราะพ่อฝังท่อส้วมถึง 4 ท่อไว้บนที่เนินทำให้โอกาสส้วมต้มของพ่อกินเวลานานกว่าปกตินั่นเอง
“มึงก็ถามได้ กูจะเรียกรถดูดส้วมมาทำอะไร กูเอามาดูดส้วมซิวะ” พ่อผมงี้แหละพูดกับผมไม่ค่อยเพราะสักเท่าไหร่ กูมึงตลอด ผมต้องเรียกแกว่าพ่อ เพราะขืนเรียกมึงด้วยผมคงตายคาเท้าพ่อแต่บัดนั้น ไม่ได้เขียนให้อ่านถึงบัดนี้หรอก
ผมคว้าจักรยานคันเก่ง ซึ่งสภาพมันไม่น่าจะเรียกจักรยานหรอกน่าจะเรียกเศษเหล็กมากกว่า ปั่นไล่รถดูดส้วมไป
“รถดูดส้วมๆ” ผมปั่นจักรยานไปพร้อมกับเอากำปั้นทุบถังรถดูดส้วม แต่คนขับรถและผู้ช่วยที่นั่งอยู่ส่วนเก๋งไม่มีวี่แววจะเห็นผมตามมาเลยสักนิด ผมเร่งฝีเท้าเพื่อให้รถจักรยานความเร็วเท่ากับรถดูดส้วม
“ยู๊ดดดด…ดูดส้วมๆ” ผมยกมือขั้นข้างเดียว ชี้ฝ่าไปที่คนขับรถเหมือนจราจรพร้อมกับการหอบแฮ่กๆ ส่งเสียงออกไป
“เลี้ยวกลับๆ บ้านผมจะดูดส้วม” ผมบอกรถเลี้ยวกลับแล้วพวกเขาก็ขับตามผมมาจนถึงบ้าน
พ่อผมยืนชะเง้อชูคอ รอการกลับมาของรถดูดส้วมที่ผมพากลับมา(อย่างภาคภูมิ)
“ลุงจะดูดส้วมหรือครับ” ชายวัยกลางคนถามมายังพ่อผม
“อื่อ ใช่ ดูดส้วมคิดยังไงหล่ะ” พ่อถาม
“ท่อละ 50 บาทครับขนาดท่อวงกลมมาตรฐานทั่วไป 80 เซน” คนดูดส้วมตอบอย่างคล่องแคล่ว
“ตกลง โน่นส้วมมี 4 ท่อ จัดการได้เลย”
คนดูดส้วมถอยรถขึ้นเนินอันเป็นที่ตั้งของส้วมห่างจากบ้านราวๆ 20 เมตร แล้วจัดการลากสายดูดและเปิดฝาท่อออกก่อนดูด(สภาพช่วงนี้ไม่ต้องบรรยาย) ผมขี้สงสัยเป็นทุน ผมเลยดูทุกขั้นตอนว่าเขาทำยังไงกันการดูดส้วมเนี่ย
ส่วนพ่อไปทำจักสานต่อใต้ร่มไม้ และพี่ชายผมกำลังซ่อมข่ายดักปลาที่ขาดอยู่บนเรือน
“ลุงๆ มาดูนี่ๆ” คนดูดส้วมเรียกพ่อผมมาดูที่ท้ายรถดูดส้วม
“นี่นะมันคือระดับน้ำ เมื่อเวลาดูขึ้นมาระดับน้ำมันจะสูงขึ้น 1 ท่อแค่นี้ 2 ท่อแค่นี้ 3 ท่อแค่นี้ 4 ท่อแค่นี้ไปเรื่อยๆ” คนดูดส้วมอธิบายหลอดระดับน้ำให้พ่อฟังแล้ว ชี้ ไปที่หลอดโดยมีผมสังเกตการตลอดเวลา
“อืม เข้าใจๆ ทำไปเถอะ” พ่อตอบแล้วเดินส่ายก้นไปยังใต้ร่มไม้ทำจักสานต่อ
การดูดส้วมท่อแรกเสร็จไปอย่างรวดเร็วมาก พอมาท่อที่สองครึ่งท่อเริ่มมีปัญหาเพราะมีตะกอนที่แน่นหนา คนดูดส้วมเริ่มมีถังฉีดน้ำมีฉีดลงในท่อให้ตะกอนแตกตัวก่อนดูดขึ้นมา แล้วก็ฉีดอีก แล้วก็ดูดอีก ทำซ้ำๆ ด้วยทักษะการสังเกตเป็นเลิศของผม ผมรู้ทันทีว่ามันมีสิ่งผิดปกติ (ตามความคิดผม) และผมก็คิดว่าพ่อคงเข้าใจผิดเช่นกัน
“พ่อ ตอนนี้มันดูดไปเกือบ 4 ท่อละนะพ่อ” ผมวิ่งกลับมาที่พ่อ พร้อมบอกสิ่งผิดปกติ
“เอ้อ ถูกแล้วแหละกูวาง 4 ท่อกะมือมันก็ดูด 4 ท่อนั่นแหละ ถูกแล้ว” พ่อพูดพร้อมกับเหลาไม้ไผ่ ไม่มีท่าทีตื่นเต้นกับผมแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่พ่อ มันดูดได้แค่ท่อครึ่ง แต่ระดับน้ำที่มันดูดขึ้นไป 4 ท่อหนะพ่อ แบบนี้พ่อต้องจ่าย 200 แล้วนะพ่อ”
ผมพยายามลากเอาความชาญฉลาดที่มีเพราะโปรตีนจากปลาร้า มาอธิบายให้พ่อฟัง
“เฮ้ย ไหนๆ” พ่อวางมีดพร้อมกับเดินไปที่ท้ายรถ
“เอ้า ไอ้หนุ่มไปไหนว่าท่อละ 50 ไง นี่ได้แค่ท่อครึ่ง ปาเข้าไป 200 บาทแล้วนะ” พ่อตีสีหน้าไม่พอใจใส่คนดูดส้วม
“ลุง ก็มันแน่นต้องฉีดดูดๆ แบบนี้แหละ เอางี้ละกันผมเหมาเลย 4 ท่อส้วมของลุง 500 ไม่ต้องไปดูระดับน้ำท้าย
รถละ”
“โหพ่อ 500 เชียว” ผมเดือดร้อนแทนพ่อในขณะที่พ่อครุ่นคิด
“ขนาดนั้นเชียวรึ ไอ้หนุ่มสัก 300 ได้ไหม” พ่อต่อรองเพราะไม่รู้จะทำไงกับสถานการณ์ดูจะเป็นสิ่งที่พ่อไม่ถนัดนัก
“ไม่ได้หรอกลุง 500 หนะถูกแล้วนะลุง” คนดูดส้วมพูด ในท่าดูจะถือแต้มสูงกว่าพ่อ และท่าทางพ่อจะตกลงตามคำขอของคนดูดส้วม
เกิดมาไม่เคยมีใครมาทำแบบนี้กับพ่อต่อหน้าผม หรือจะมีแต่ผมไม่รู้ก็แล้วไป แต่กรณีนี้ผมยอมไม่ได้มันเอาเปรียบผม เอาเปรียบพ่อผม มันคิดว่ามันแน่มันมีเครื่องมือ โธ่…รู้จักข้าฯ น้อยไปซะละ
“ไม่ได้ 300 ก็ไม่ต้องทำละ กลับไปซะ” ผมพูดขึ้นแบบหงุดหงิดเล็กน้อย ว่าพ่อยอมทำไม และมันทำไมทำแบบนี้ ตอนแรกตกลงอย่าง เปิดฝาส้วม แล้วกลับเป็นอีกอย่าง
“แล้วมึงจะทำยังไงรึ จ้างๆเขาไปเถอะจบเรื่อง” ผมโดนพ่อตะคอกกลับ ราวกับว่าผมจะมปัญญาทำไรได้งั้นแหละ (โธ่พ่อถ้าพ่อไม่ตายซะก่อน อยากปลุกขึ้นมาดูเวลานี้ผมเอ๊กสะเปิด ขนาดไหน ไม่ได้โม้)
“ไม่พ่อ ผมจะทำเอง ถ้าพ่อจะจ้างเขาต่อผมขอ 150 ผมจะจัดการทั้งหมดเอง” พ่อมองผมหัวจรดเท้า ในขณะที่ผมพูด (พ่อไม่เคยคิดว่าผมทำไรได้ หรอก)
“มึงเนี่ยนะ” พ่อสีหน้าเย้ยๆ ในขณะที่คนดูดส้วมยืนดูพ่อลูกคุยกัน
“ครับพ่อ ผมจะทำเอง” ผมย้ำให้พ่อเชื่อ
“มึงจะทำไงห๋า มึงจะทำไง เครื่องไม้เครื่องมือมึงมีรึ ” พ่อเริ่มมีสิ่งเข้าสิง เปล่งเสียงดัง
“ผมจะลงไปตักเอง” ผมพูดคำนี้ทำให้พ่ออึ้งไปชั่วขณะ แล้วคนดูดส้วมคงคิดว่าตอนนี้เขาไม่เป็นต่ออีกต่อไปแล้ว
“มึงแน่ใจนะ ว่าทำได้” พูดยังไงพ่อก็ไม่ค่อยเชื่อผม
“ได้สิพ่อ ผมจะทำให้ดู” ผมย้ำ
“เออๆ กูเชื่อมึง เดี๋ยวทำซะนะไว้จะมาจ่ายตังค์เมื่อเสร็จงาน” พ่อพูดแบบไม่อยากเชื่อแต่ก็เชื่อ (แหงดิพ่อประหยัดไปโข)
“ไอ้หนุ่ม ลุงจ่ายให้ 200 แค่นี้นะ ไม่ต้องดูดละ ลูกชายลุงมันจะจัดการเอง”
คนดูดส้วมสองคนมองมายังผม ในแววตาที่หมั่นไส้ผมสุดฤทธิ์ ก่อนเก็บสายดูดม้วนขึ้นรถจากไป จากนั้นพ่อเดินไปจักสานต่อที่ใตต้นไม้ทิ้งภาระหนักอึ้งไว้ให้ผม
“กูจะทำไงเนี่ยย” ผมยืนคิดอยู่ปากท่อ ที่อุดมไปด้วยสิ่งที่ย่อยสะลายไม่ได้เช่น เม็ดพริก และ อื่นๆนานับไม่ถ้วน
“พี่รงค์ๆ” ผมคิดแว๊บบบขึ้นมา พี่ชายผมกำลังง่วนกับการซ่อมข่ายดักปลา บนเรือน ไม่ท่าสนใจเบื้องล่างสักนิดว่าเขาทำไรกัน ผมจึงเดินขึ้นไปหาพี่ชายบนบ้าน
“พี่ช่วยผมตักขี้หน่อย” ผมพูดแบบไม่ต้องแปล
“ตักขี้” พี่ชายผมมองหน้าด้วยท่าทางไม่รับญาติ แล้วพูดขึ้น
“ก็รถดูดส้วมมันดูดตะกี้ไปแล้วไม่ใช่รึ”
“ดูดกะผีอะไรพี่ มันโกงเรามันบอกท่อละ 50 ดูดท่อครึ่งซัด 200 ดูด 4 ท่อมันจะเอา 500”
“แล้วแกจะเอาไงต่อรึ”
“พี่ก็ไปช่วยผมตักออกสิ ผมขอพ่อ 150 แล้วเราแบ่งกัน”
“กูไม่เอา กูให้มึงหมดเลย” พี่ชายปฏิเสธหน้าตาเฉย
“ผมทำคนเดียวไม่ได้พี่ ถ้าทำได้ผมทำแล้ว”
“เออ ช่วยก็ช่วยว่าแต่ว่ามึงลงตักนะ กูจะอยู่ปากท่อ” พี่ชายถอนหายใจก่อนตอบออกมา
“ได้พี่ งั้นผมขอ 100 นะพี่เอาไป 50”
“ได้ไงช่วยกันก็ต้องหารสองสิว่ะ”
“งั้นพี่พลัดผมลงตักในท่อนะ เหลือราว 2-3 ท่อเอง”
“งั้นกูเอา 50 บาทก็ได้” พี่ชายผมเล่นเชิง
พี่ชายวางข่ายที่กำลังซ่อมเดินออกไปยังขุมสมบัติอันเป็นเป้าหมายที่พ่อสั่งการ โดยมีผมนำทางไป
“ไหงมันเหม็นงี้ว่ะ”
“เอ๋าพี่ มันเป็นธรรมดาของมันแหละงั้นจะเรียกว่าขี้รึ มีขี้ที่ไหนหอมมั่งพี่”
“กูว่านะมึงเอาไปซื้อน้ำมันก๊าดมาเทลงไปก่อนดับกลิ่น ไม่งั้นมึงเป็นลมตายในบ่อแน่ๆ”
“ก็ว่าเถอะ กลิ่นมันคล้ายๆแอมโมเนียพยาบาลยังไงไม่รู้”
“เดี๋ยวพี่ไปหาคุถังและเชือกนะ ผมจะไปซื้อน้ำมันก๊าดสัก 10 บาทมาเทลงดับกลิ่น”
“ได้ได้”
ผมหายไปพักนึงกลับมาพร้อมขวดน้ำมันการสีใสๆ แล้วเทลงในท่อส้วมก่อนผสมอย่างเข้าเนื้อด้วยไม่เพื่อดับกลิ่นเท่าที่ทำได้ส่วนพี่ชายไปหาเชือกพร้อมคุถังมาพร้อมแล้ว เมื่อได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้วพิธีการตักก็เริ่มขึ้น เริ่มจากส่วนที่เหลวมากหน่อยที่รถดูดส้วมค้างคาไว้โดยการโยนคุถังลงไปตัก แต่มันก็มีจุดสิ้นสุดเมื่อไปเจอตะกอนที่แข็งทำให้การตักด้วยคุถังหย่อนเชือกทำไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยสวาทเช่นผม โดยการประเมินอย่างชาญฉลาดแล้วการลงไปอาจจะจมดิ่งลงลึกได้เพราะพ่อบอกมี 4 ท่อ ตอนนี้สำเร็จไป 2 คงเหลืออีก 2 ก็ประมาณ 1 เมตร ฉะนั้นถ้าเราเอาไม้แผ่นโยนลงไปก่อน แล้วทรงตัวบนไว้แผ่นนั้นจะทำให้เราไม่ต้องลงไปแช่ลึก อย่างมากก็แค่ตาตุ่ม เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสวมเท้าด้วยถุงพลาสติกถึงหน้าแข้งทั้งสองข้างแล้ว สวมรองเท้าแตะ และสวมพาสติกที่หัวด้วย จากนั้นทำการหย่อนตัวลงไปยืนบนไม้แผ่นที่โยนลงไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีพี่ชายที่หน้าเตะยืนยิ้มๆสมเพสอยู่บนปากบ่อ แต่ขณะที่ผมหย่อนขาทิ้งน้ำหนักบนไม้แผ่นที่เตรียมไว้ ไม่รู้กรรมเวรแต่ปางนั้นไม้ที่ทิ้งน้ำหนักลง พลิก .! แรงดึงดูดของโลกดึงขาทั้งสองขาแทรกอณูของสิ่งปฏิกูล ถึงราวประมาณเอวเห็นจะได้
“ฮ่าฮ่าๆๆๆๆๆ” พี่ชายตัวดีหัวเราะท้องแข็งบอกปากท่อในขณะที่ผมพยายามขึ้นมายืนทรงตัวบนแผ่นไม้อีกครั้ง เจ็บใจตัวเอง แถมโดนพี่ชายหัวเราะเยาะ
“เออ ทีใครทีมันวะ ส่งคุถังลงมา.!” ผมหันมองพี่แล้วพูดขึ้นทั้งที่ไม่อยากพูดเพราะสภาพด้านล่างไม่เอื้อที่จะพูดสักเท่าไหร่ ผมเอาพลั่วตักสมบัติใส่คุถัง จนเก็บเต็ม
“ดึง” ผมบอกพี่ชาย ที่ยังหัวเราะไม่หายให้ยกขึ้นไปได้แล้ว
“เฮ้ยดึงขึ้นตรงๆสิว่ะ จะเอามันถูขอบถังทำไม รู้ไหมว่าไอ้ที่ติดขอบล่างคุถังมันหล่นใส่หัวกู” ผมเริ่มอารมณ์บูดเริ่มไม่เคารพพี่
เพราะคุถังสังกะสีมันจะมีขอบด้านล่าง เวลาวางไว้มันจะติดสมบัติขึ้นไป พอมันโดนกระแทกมันจะร่วง
“ฮ่า ฮ่า เออๆ” พี่ชายหัวเราะที่หัวผมมีสมบัติหล่นใส่หัว ดีที่ผมมีถุงพลาสติคคลุมอยู่ การหลบหลีกทำได้ลำบากมากเพราะต้องทรงตัวบนแผ่นไม้และท่อมีขนาดกว้างแค่ 80 เซนติเมตร
จดแล้วจนรอดผมก็เอาสมบัติออกจากที่ซ่อนจนหมด โดยพี่ชายเอาไปซ่อนต่อที่หลุมโคนต้นมะม่วงไม่ไกลกันนักพ่อจ่ายตังค์ให้ ผมแบ่งให้พี่ 50 บาท (ยอมขาดทุนค่าน้ำมันก๊าดเอง) นับจากวันนั้นมาพ่อผม เชื่อมั่นในตัวผมมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยทำไรให้พ่อสมดั่งใจสักทีก็เป็นได้ เรียนหนังสือมีแต่ไข่เต็มเล้า ขี้เกียจก็ป่านนั้น แต่ผมก็รักพ่อผม แม้พ่อผมจะดุมากๆ ก็ตามที แต่การดุของพ่อล้วนแต่หวังดีทั้งนั้น
(แถมเรื่องเล่าต่อ)
มีอยู่หนหนึงผมนอนตื่นสาย มันเป็นฤดูหนาวซะด้วยนอนอย่างมีความสุข
“ลูกเอ้ย ตื่นได้ละสายละลูก” พ่อร้องเรียกผมกับพี่ชายตื่น พี่ชายลุกไปทันทีส่วนผมนอนต่อ
“บังโม่ง เอ้ยยยตื่นได้แล้ว มึงจะนอนกินบ้านกินเมืองรึไง” พ่อเริ่มมีฮอร์โมน
“โครม เอ้า มึงอยากนอนนักก็นอนต่อไปซะ” พ่อเดินมาปลายเตียงผมตอนไหนไม่รู้ พร้อมน้ำเต็มคุถัง ก็เปิดมุ้งขึ้นแล้วสาดน้ำทั้งคุถังเข้ามาเจิ่งนองในที่นอนผมและพี่ชาย งานนี้ผมนอนต่อไม่ได้เพราะมันแช่น้ำและต้องเอาที่นอนไปตากไม่งั้นไม่มีเครื่องนอนในตอนเย็น ส่วนพี่ชายสมน้ำหน้าผม แต่ก็ช่วยผมตากผ้า เพราะพี่ผมต้องนอนด้วยกัน
ถ้าที่นอนไม่แห้งพี่ผมก็ไม่มีที่นอน จำเป็น
พ่อผมเสียชีวิตไปนานละ มีบางครั้งที่ท่านดุมาก มีบางครั้งที่ไม่เข้าใจพ่อ มีบางครั้งทำให้พ่อเสียใจ แต่ทั้งหมดล้วนมีแต่ความ ปรารถนาดีของพ่อที่มีต่อผมทั้งสิ้น
ผมได้รับรู้ความรู้สึกนั้นอย่างล้นเปี่ยมเมื่อผมมีคนที่เรียกผมว่า พ่อ นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น