จัน เป็นลูกชาวนา เต็มขั้น งานที่ไปทำนั้น มันก็คืองาน ขายแรงงานธรรมดาๆ คนหนึ่ง ซึ่งรายได้ก็ไม่มากมายอะไรอย่างที่คิด จัน ถือว่าเป็น
คนหน้าดี มองเผินๆ ไม่มีใครรู้หรอก ว่า จัน เป็นคนงาน แต่จันก็หา ขี้เกียจ อย่างใบหน้า ผู้มากด้วยความเป็นหนุ่มสำอาง จันมีจุดเด่นคือ
จัน เล่นการพนันเก่ง วันๆ จันไม่ทำงานทำการ เขาสนใจฝึกปรือ เล่นการพนัน อย่างเดียว แม้เขาจะโดนหักเงินเดือน เขาก็ไม่สนใจ
"อื้อ มันอยากหัก ให้มันหักไป" จัน หนุ่มบ้านนอกหน้าตากรุงเทพ สับไพ่ ต่อเมื่อคำถามเพื่อน ที่ในวงไพ่แซว ว่าไม่ทำการทำงานจนโดนหักเงินเดือน
"เดี๋ยว นายจ้างก็ส่งเอ็งกลับบ้าน ก่อนกำหนดหรอก" ไอ้สมาน เพื่อนในวง พูดเตือน จัน ด้วยความเป็นห่วง
"มึง อย่าไปห่วงมันน่าาา… กูว่ามัน รายได้มากกว่า วิศวกรเกาหลี ที่คุมงานพวกเราอีก" สุบัน ขาใหญ่ในวง ป๊อกเด้ง บอกสมานไม่ต้องเป็นห่วง จัน
"ม่าม่า ร้อนๆ มาแล้วครับ…" ลุงแสวง ผู้เป็นเจ้าของสถานที่ ถือถาด มาม่า มายังวงไพ่ หน้าที่หลักของลุงแสวง คือ เก็บค่าต๋ง จากผู้ที่มีเงินได้
จากวงไพ่ ใครจะได้ หรือใครจะเสีย ลุงแสวง ไม่เคยเสียกะใครๆ มีแต่คำว่าได้ ลูกเดียว นี่ยังไม่รวมถึง มาม่าร้อนๆ น้ำชา กาแฟ ที่แกยกบริการ
ถึงหน้าตัก ของแต่ละคน
จนแล้วจนรอด จัน ก็ถูกให้เป็นคนงานพิเศษ คือ ไม่ต้องทำงาน เพราะ ขืนให้ทำ จัน ก็ไปแอบหลับหน้าไซต์งาน ด้วยเพราะตกเย็นเขา
ต้องเป็นเจ้ามือถึงสว่างคาตา โดยมีสมาชิกในแคมป์ เวียนเข้าออก เป็นลูกค้า ของเขาไม่ขายสาย ไม่ว่า ไทย ฟิลิปินล์ เกาหลี ก็ยังมาเป็นลูกค้า
ของ จัน หมด เล่นไม่เป็นไม่เป็นไร จันยินดี สอนให้เล่น ฟรีๆ พอเล่นเป็นแล้ว จันถึง จะเล่นเก็บตังค์ (สปอรต์อีกต่างหาก)
เงิน จันอยู่ราวๆ หมื่นบาทต่อเดือน นั่นคือเงินกรรมกรทั่วไป แต่ จันสามารถทำเงินได้ถึงเดือนละเกือบสองแสนบาทต่อเดือน จัน มีสตางค์ จันซื้อ
สิ่งที่ จันอยากได้ วิทยุ ทีวี เครื่องเสียงดีๆ จันไปสรรหา ถอยมาเชยชม จนคนในแคมป์ อิจฉา จันไปตามๆกันว่า จนขนานนามว่า
"จันผู้ไม่เคยปราชัย" เพราะจันจะต้องได้ เสมอๆ โอกาสเสียจันน้อยมาก ก็ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด ของ จัน
ความเหงา ของคนไกลบ้าน คิดถึงคนรัก คิดถึงพ่อแม่ พี่น้อง คิดถึงสภาพ บ้านเมืองนอน บ้านเกิด เป็นสิ่งที่ทำให้จันหาทางออก ด้วยการเล่น
การพนันแบบนั้น ครั้นจะส่งเงินกลับบ้าน จันเอง ก็เกรงว่า เงินทองที่ส่งกลับมันจะถูกใช้จ่ายโดยคน ทางเมืองไทย(ไม่เข้าใจเหมือนกัน) จันจึงเก็บ
และซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ตุนไว้ในห้องนอนตัวเอง
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือหลังคามีขี้นก จันดวงตก เงินทองที่สะสมมาเริ่มร่อยเหรอ เพราะผีพนันเข้าสิง แบบไล่ ยังไงก็ไม่ออก จันถูก เจ้ามือ หน้า
ใหม่ชาวฟิลิปินล์ กินแทบจะหมดหน้าตัก จัน ขอเป็นเจ้ามือซะเอง ก็เสีย แทบตลอด และคนอย่างจัน ไม่เคยยอมใคร เมื่อเสียไป จันจะตามคืน
ในส่วนที่เสียให้ได้ และเมื่อได้ก็ย่ามใจ นี่แหละผีพนันตัวจริง เสียงจริง
จันผู้ไม่เคยปราชัย กลายเป็นตำนานไปซะแล้ว เมื่อทรัพย์สินที่ จัน ซื้อไว้ เริ่มยกมาวาง ลงที่วงไพ่ เพื่อตีราคา ค่างวด
"ไอ้ ลิกาโด้ ลำโพงนี้ JBL ทูเท้าสั่น (2000) มึงโอเคไหม" จันตีสีหน้าเข้ม ก่อนยก ลำโพง JBL ตัวโตที่หอบมาไว้ในห้องลุงแสวงก่อนหน้านี้
เพราะ เงินสดขาดมือ มาตั้งหน้าตัวเอง พร้อมมือ คีบยาก้นกรอง(85) พ่นควันขึ้นฟ้า
"มะฟีมูดสะกีล่า จัน" (ไม่มีปัญหาจัน) ลิกาโด้ตอบเป็นภาษาอาราบิค ทั้งๆที่ ลิกาโด้พูดภาษาอังกฤษคล่องมาก เพื่อสื่อสารให้ จัน ว่ารับคำ
แล้วลำโพงตัวนั้นก็โดนย้ายข้างไปยังฝั่งลิกาโด้ และ ในที่สุดก่อนสว่าง คืนนั้น ลิกาโด้ก็ได้เครื่องเสียงชุดใหญ่ ของ จันไป ครอบครอง โดย
มี ขา ที่นั่งล้อมวง เป็นพยายาน รวมถึง ลุงแสวง ด้วย
วันเวลาแห่งความโชคร้ายของ จัน ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันแล้ววันเล่าในที่สุด จัน ก็หมดตัว สิ่งของทุกอย่างที่เคยซื้อไว้ หายเกลี้ยง
เพราะ ความหวังที่จะได้สิ่งที่ตัวเอง เสียไป กลับคืนมา แต่มันกลับหายไปเรื่อยๆ จนไม่มีอะไรเหลือสักชิ้น ประกอบซ้ำกับวันเวลาที่จะครบสัญญา
มันเหลืออีกแค่ประมาณ 3 เดือน แล้วต้องถูกส่งกลับเมืองไทย จัน เริ่มเครียด เพราะเวลาผ่านไป 2 ปีเขาสามารถมีเงินเกือบล้านในแค่ช่วงปีครึ่ง
แต่กลับทำให้มันหาไปหมดแค่ไม่กี่เดือน เขา เครียด เครียด แล้วก็ เครียด
เมื่อเงินไม่มี การต้อนรับเข้าวงการพนัน ก็หมดความเชื่อถือ จัน พยายามหยิบยืม ใครๆ ก็โดนส่ายหน้า หรือบ่ายเบี่ยงแทบตลอดเวลา
เงินที่เคยผ่านมือคืนละเป็น หมื่นๆ มันเป็นเพียงอดีต คนในวงไพ่ บางคนตัดรำคาญ ก็ยื่นเหรียญให้ 5 บาท 10 บาท แบบไม่หวังที่จะได้คืน
แต่ จัน ก็ไม่วายที่จะนั่งดูไพ่ในมือ คนอื่นอยู่ด้านหลัง ประมาณว่า คอยลุ้นไพ่ชาวบ้านก็ยังดี ถ้าเป็นวงไฮโล จัน เองไม่มีตังค์ แต่แอบ ยักย้าย
เงินชาวบ้านที่แทง ไว้ พอวงรู้ว่า เป็นจัน เป็นต้องไล่ เตลิด เปิดเปิง ซะเรื่อย ภาพที่รุ่งเรือง ในอดีตของ จัน มันไม่มีเหลือซะแล้ว แม้แต่ลุงแสวง
ที่เคย ประเคน อาหาร น้ำชา กาแฟ ประจำให้กับจัน ก็ยังไม่ให้ความสนใจอีกต่อไป
จันไปนั่ง วงไหน เขาก็ไม่ยอมรับ สิ่งที่ดีที่สุด ของจันคือ กลับห้อง ไปนอน เครียด แต่นั่นมันเป็นผลดี เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้นอนมากกว่า
นั่งเป็นเจ้ามือ เฉกเช่น เมื่อหลายเดินก่อน ทำให้เขาโดยยอมรับให้ทำงานต่อได้ ด้วยความสงสารของโฟร์แมน (หัวหน้าคนงาน) คนไทย
ทำให้เขาพอมีเงินกลับเมืองไทยบ้าง ประมาณหมื่นบาท ความจริง น่าจะได้มากกว่านั้น ด้วยเหตุเพราะเขาคิดว่าจะกอบกู้ สถานการณ์
ที่เคยมีมาก่อน อยู่เสมอๆ เงินที่เหลือ หนึ่งหมื่นที่เหลือเพราะ หัวหน้าคนงาน คนที่เขายอมรับให้ทำงานใหม่ ขอไว้ ไม่งั้นหมดไม่มีเหลือแน่ๆ
ไม่อยากคิดว่า ถ้าอยู่เมืองไทย ป่านนี้ จันคง ไปขายไร่ ขายนามา สู้ต่อ เป็นแน่แท้
วันกลับบ้านมาถึง กระเป๋า เซ็มโซไนท์ ใบโต จัน เองที่เคยจัดเตรียมไว้หลายเดือนก่อน พร้อมกับสิ่งของจิปาถะ มันกลับเป็นเป้ใบเล็กๆ
เพียงใบเดียว พร้อมเงินติดกระเป๋าประมาณ 1 หมื่นบาท ส่วนตั๋วเครื่องบินบริษัทนายจ้างออกให้ ไม่งั้น จัน เงินคงก็ไม่พอกลับถึงบ้านเป็นแน่
นั่งเครื่องบินข้ามทวีป จัน ไม่มีทีท่าว่าจะหลับแม้แต่น้อย หัวสมองจัน หมุนติ้วๆ ครุ่นคิดเรื่อง ที่ต้องตอบคำถาม ทางบ้านเมื่อถึงเมืองไทย
ในที่สุดเครื่องบินที่จันนั่งก็แตะ พื้นแผ่นดินอันเป็นมาตุภูมิ ซึ่งเป็นเวลาราวตีหนึ่งแล้ว ด้วยความกระหายที่อยากกลับบ้านเกิด ของเพื่อนที่มาด้วย
กันกับ จัน จึงตกว่าจะ เช่ารถตู้ บริเวณสนามบิน ดิ่งตรงไปยังบ้านเกิด ไม่อยากรอ อะไรอีกต่อไปแล้ว บ้างคิดถึงหน้าลูกเมีย บ้างคิดถึงพ่อแม่
บ้างคิดถึง คนรัก แต่ดูสีหน้าจัน เหมือนกับว่า อยากจะกลับบ้าน แต่ดูอีกทีเหมือนกับว่า จันเอง ไม่อยากกลับบ้าน ทำตัวเป็นตัวถ่วงชาวคณะ
เอาซะดื้อๆ ในที่สุด จนแล้วจนรอด จันก็กลับถึงบ้านเกิดจนได้ โดยรถตู้ บ้านจัน เป็นบ้านหลังไกลสุด ที่รถต้องไปส่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทุกคนตื่น
นอนมาพอดี ซึ่งถือว่ารถตู้ซิ่งได้ดีมาก อาจจะเป็นเพราะเงินค่าจ้างงามๆจากกลุ่มผู้ขุดทอง กลุ่มนี้ พอรถจอดหน้าบ้านเพื่อนของแต่ละคน
ครอบของเขาเหล่านั้น เสียงดังลั่นมาจากในบ้าน ราวกับ มีงานเฉลิมฉลองใหญ่มาก มันตอกย้ำความรู้น้อยเนื้อต่ำใจของ จัน มาตลอดเส้นที่
หย่อนเพื่อนลงบ้านทีละคนๆ คนแล้วคนเล่า..ซึ่งคนในหมู่บ้าน ไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก เมื่อบ้านหนึ่งรู้ว่า คนที่ไปขุดทองกลับมา ก็ไม่ใช่เรื่อง
แปลกที่คนละแวกนั้นจะรู้ข่าวกันทั่ว และแล้ว จัน ก็ถึงบ้านจนได้
"อ้ายจัน มาแล้วๆ ..!" น้องสาวของจัน ร้องบอกพ่อแม่ และญาติๆ เสียงดังลั่น ขณะที่รถตู้จอดหน้าบ้าน
"ไหนๆ มันมาแล้วรึ" แม่ของจัน ย้อนถาม ลูกสาวคนเล็ก ท่าทางแม่ลุกลี้ลุกรน อยากเจอลูกชายอันเป็นที่รัก
"มาแล้ว แม่ อยู่นั่นๆ" น้องสาวจันชี้นิ้วไปยังรถตู้หน้าบ้าน ขณะจัน กำลังแบกเป้ใบเล็กออกจากรถมา
"ขอบคุณมาก ครับพี่ ที่ส่งผมถึงบ้าน พี่ขับรถสะใจผมจริงๆ" จันเดินที่ที่คนขับรถตู้หนวดงาม พร้อมกับยกมือไหว้
"ไม่เป็นไรครับ เออ…ขอเงินส่วนที่เหลือด้วยครับ" หนุ่มหนวดงามคนขับรถตู้ ตอบจัน และถาม ในขณะที่จันกำลังเดินเข้าบ้านตัวเอง
"อ้อ..ขอโทษครับผมลืม…..อะ…นี่ครับส่วนที่เหลือ" จัน เดินวกกลับมา พร้อมควักกระเป๋าตังค์ ยื่นเงินส่วนที่เหลืออีกครึ่งที่เพื่อนสมาชิกให้
รับชอบ เพราะ จัน เป็นบ้านสุดท้าย แล้ว
"เดินทาง ปลอดภัยพี่" จันอวยพร หนุ่มหนวดงามคนขับรถตู้ ก่อนเดินเข้าบ้าน
"โห บักจัน มันอ้วนขึ้น ขาวขึ้นเยอะเลยเน้อ" แม่จัน อุทาน ออกมาด้วยสีหน้าที่ดีใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นลูกชายตัวเอง และโผหาลูก
"อ้าาาาย จัน" น้องสาวของจัน โผเข้ากอด พี่ชาย พร้อมๆกับแม่ บริเวณทางเข้าบ้าน โดยมีพ่อ และญาติ คนอื่นๆ ยืนยิ้มแก้มปริอยู่ห่าง
"อ้าย เมื่อยมากนั่งเครื่องบิน ลงเครื่องบินนั่งรถตู้ อยากอาบน้ำนอนก่อน เอาไว้ค่อยคุยกันเน๊อะ" จันบอกทุกๆ ที่ยืนชื่นชม จัน ราว วีรบุรุษ
รอดผู้กลับจากสงครามโลก จันไปอาบน้าแล้วไปก็หนีไปนอน และผลอยหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย..
คนค่อนหมู้บ้านมาบ้านจัน..! ส่วนจันนะรึนอนหลับสนิทยังไม่ตื่น อยู่ในมุ้งที่แม่กลางให้ บ่ายโมงกว่า จันตื่นขึ้น ลมแทบจับ เพราะคนค่อนหมู่บ้าน
มากอง อยู่บ้านจัน แทนที่จะไปบ้านเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไปทำงานด้วยกัน ทำไมมาบ้านของจัน..?
"พวกเขามาทำอะไรกันเยอะแม่" จันอดแปลกใจ ไม่ได้เลยเอ่ยปากถามแม่ไป
"ก็พ่อ มึงหนะสิ ไปพูดอวดชาวบ้านเขาตอนที่มึง โอนเงินกลับมาให้พ่อ 2 แสน คราวนั้น" แม่พูดให้จัน เข้าใจพร้อมกับฉุนพ่อไปในตัว
"ห๋า….อะไรนะแม่ ผมโอนเงินให้พ่อ 2 แสน..!! ตอนไหนแม่ ผมจำได้ว่าผมโอนเงินให้พ่อแค่ 2 ครั้งเอง เดือนแรกที่ผมทำงานแหละ
หมื่นบาท และอีกทีก็ตอนพ่อ บ่นๆในจดหมาย ไปทวง ว่าผมไม่ส่งเงิน ผมเลยให้พ่อมา 2 หมื่น ประมาณปีกว่าๆหลังจากผมไป ผมยังเขียนจดหมายกลับมาบอกแม่เลย ว่าผมกลับมาจะบวชให้แม่" จันตอกย้ำความมั่นใจตัวเอง ว่าตนเองได้ทำตัวยังไงต่อพ่อ ตลอด 2 ปีที่ไปขุดทอง
"เอ้อ ก็ครั้งที่สองแหละที่เองโอนมาให้พ่อเอ็ง 2 แสน พ่อเอ็งยังไปพูดอวด ชาวบ้านให้ทั่วเลย" แม่ตอบให้จัน รู้ว่าจันโอนเงิน 2 แสนให้พ่อจริงๆ
"นี่ ไม่เชื่อ ดูสมุดบัญชี มีเงินเข้า 2 แสน" แม่จันกางสมุดบัญชีให้จันดูพร้อมชี้นิ้วลงในบัญชี
"โอ้.! อะไรกันเนี่ย" จันอุทานไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าจะมีเงิน 2 แสนโอนเงินเข้าบัญชีพ่อ แต่ในที่สุด จัน ก็รู้ตัวว่าตนเองได้โอนจริงๆ
ในยุคที่ตัวเขาเอง รุ่งเรือง จากการพนัน กรอกตัวเลขโอนเงินให้พ่อตัวเองเพราะตัดความรำคาญพ่อ ที่พ่อเขียนจดหมายทวงบ่อยมากๆๆ
แถมยังเขียนจดหมายตอบกลับ เอาใจพ่อว่าจะกลับมาบวช ให้พ่อแม่ชื่นใจด้วย
มาถึงตอนนี้ จัน ไม่รู้จะระบายความรู้สึกยังไง กับแม่ ได้แต่เก็บความรู้สึก นั้นไว้ในใจ แต่ใครจะไปรู้ สิ่งที่เขารู้อยู่ในใจ (สาเหตุที่เขาโอนเงินผิดเพราะ
ค่าเงินหน่วยหนึ่ง มีค่าเทียบอีกค่าหนึง จะมีความแตกต่างกัน และจันเอง ไม่ถนัดเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ลุงแสวง คือผู้จัดการให้ จัน ทุกอย่างเสมอๆ
ซึ่ง ลุงแสวง แกเป็นคนที่ตรงไปตรงมากับจันมาก)
จันตัดสินใจ บอกความจริงกับแม่ และพ่อ สองคนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ชนิดน้ำตาคลอเบ้า ซึ่งพ่อแม่ก็เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะไม่งั้นพ่อจะเข้าใจ ว่า จัน เองมีเงินมากมาย แล้วเก็บไว้คนเดียว จะสร้างปัญหาอีก จันตัดสินใจบวชให้พ่อและแม่ ในเวลาต่อมา
ก่อนบวช ประมาณ 2 อาทิตย์ จันจะต้องไปท่องบทที่จะบวชที่วัด เพื่อนำไปสวดในพิธีบวช และนอกนั้นเขาก็ใช้ชีวิตสบายๆ ไปวันๆ
เพื่อรอวันบวช หนุ่มขุดทองจากนอก ผู้ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน (จากคำอวดอ้างของพ่อ จันเอง) แถมหน้าตาขาวคม โสด จึง
เป็นที่หมายปองของสาวๆ ในหมู่บ้าน รวมไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงยิ่งนัก ในที่สุดจันก็พบสาวถูกใจ นามว่าจิ๊ด ก่อนจะบวชแค่ 2 อาทิตย์
นั่นแหละความสัมพันธ์ของจัน และจี๊ด ลุกพรึ๊บ..! ไปอย่างรวดเร็ว แต่ จันเองนั้นได้รับปากกับพ่อแม่แล้วจะบวช หมายกำหนดการบวชก็
ออกมาแล้ว พ่อแม่ของ จัน ประกาศไปทั่วอาณาจักร ว่าลูกชายจะบวช แล้วว..ว.!
"จี๊ด..พี่จะบวชให้แม่ ของเวลาพี่สามเดือนนะ พี่จะบวชให้แม่" จันพูดกับจี๊ดคนรัก ขอบวชเพื่อพ่อแม่
"สามเดือน เชียวเหรอพี่ จัน" จี๊ดทำสีหน้าราวกับว่า นานปี ที่จะรอคอย จันกลับจากการบวช
"แป๊บเดียวเอง 3 เดือนหนะ อยากให้จี๊ด หายไป แบบว่าไม่ไปให้เห็นหน้าเลยนะ เดี๋ยวคิดถึง" จันเองชักไม่แน่ใจความรู้สึกที่แท้จริงตัวเองที่ซ่อนอยู่
"จี๊ดจะพยายาม ค่ะพี่ เพื่อพ่อแม่พี่จัน และตัวเราทั้งคู่" จี๊ดรับปากรับคำ ทั้งๆที่ไม่อยากรับปากเช่นกัน
ก่อนวันบวชหนึ่งวันคืนนั้น จะต้องมีการฉลองนาค ญาติโกโหติกา ของจัน แห่มาจากไหน ไม่รู้ บ้างก็รู้จัก บ้างก็ไม่รู้จัก เต็มบ้านของจัน
คนที่รู้สึก เบิกบานสุดๆ คือ พ่อแม่ จัน ลูกชายจะบวชให้ ส่วนจัน เป็นนาคขี้เมา ประจำงานไปซะแล้ว ดีอย่าง นาคคนนี้เมาแล้วอารมณ์ดี
ชอบร้องเพลง และอ่อนน้อมเป็นที่สุด
"สวัสดีคร๊าบบบ ขอบคุณครับลุง…/ ป้า…./ น้า….." จันยกมือไหว้ทุกคน ที่เดินผ่านหน้าของเขา
"เชิญครับๆ…." แก้วเหล้าอยู่ในมือจัน แล้วพาแขกเดินเข้าบ้านไป (ไม่ต้องสักเกตุก็รู้ คนหัวโล้นๆแหละคือ นาคขี้เมา)
ทำไมนาคต้องเมาด้วยนะ? อาจจะมีหลายเหตุผล ส่วนมาก ล้วนเป็นเหตุผลที่เขาอั้นในใจ แต่ทั้งนี้ มันล้วนเกิดจากสิ่งที่เขาก่อทั้งสิ้น
ซ้ำร้ายคืนนี้ไร้วี่แวว จี๊ด ในงานซะด้วย จิ๊ดคงอาจจะทำอย่างที่ให้สัญญาไว้กับจันหล่ะมั้ง Jถ
เสียงหนังกลางแปลงที่ฉาย ฉลอง งานบวช จัน ยังดังไม่มีวันหยุดหย่อน เพราะพ่อจันจ้างมาฉายจนสว่างคาตา ส่วนนาคจันก็ยังคง
นั่งร้องเพลงอยู่ในบ้าน ไม่มีวี่แวว ว่าจะยอมแพ้ใครๆ แต่อย่างใด หารู้ไม่ว่าพรุ่งนี้คือวันเข้าโบส์
"จัน เอ้ย…ลูก ไปนอนได้ละลูก เพราะนี้จะได้เข้าโบถส์นะลูก" เสียงแม่จันเรียก จันให้ไปนอนเพราะกลัวลูกชายทำเสียงาน
จันถือไมค์หันหน้าไปทางแม่ พร้อมพูดออกไป "อีกแป๊บ หนึงครับแม่" ในที่สุดแป๊บเดียวของจัน ก็ปาเข้าไปเกือบสว่าง
จันเองก็หลับ อยู่หน้าลานวงเหล้าแหละ พร้อมพวกเพื่อนๆจัน…
"จันๆ ตื่นได้แล้วลูกๆ พระจะมาฉันท์เช้าที่บ้านแล้วลูก" แม่จันเขย่าตัวจันให้ลุกตื่น ในขณะที่จันนอนเอาหัวทับไมค์โครโฟนอยู่
"คร๊าาาบ แม่"…จัน จำต้องตื่นเพราะวงเหล้า ขวางประตูบ้านอยู่ เสียงหนังกลางแปลงก็ยังดังอยู่ ทั้งที่มันน่าจะเลิกฉายได้แล้ว
เพราะมันจะฉายแข่งดวงอาทิตย์ไปทำไมไม่รู้ แต่มีคนดูเข้าก็ต้องฉายให้จบๆ ถ้าภาพมันยังพอยังเห็นอยู่..
"เอ้ย…ตื่นๆ พวกมึงตื่นได้แล้ว" จันปลุกพวกเพื่อนๆ ที่เมากลิ้งนอนระเนระนาดรอบวงเหล้า ต่างคนต่างงัวเงีย แยกย้ายหนีไป
ปล่อยให้แม่จัน เก็บสิ่งที่แม่ไม่ได้มีส่วนร่วมเลย คือ อุปกรณ์ในวงเหล้าทั้งหลายแหล่…
หนังกลางแปลงที่หน้าบ้านจันพับจอลง เกือบๆเวลาที่พระมาฉันท์ช้าพอดี (ดูได้ยังไงเนี่ย) จันโดนแม่ ขอให้(พูดคำว่าไล่ ไม่ได้ นาคเป็นสิ่งสูง)ไปอาบน้ำแต่งตัวเป็นนาคเต็มยศ ซึ่งดูๆสภาพแล้ว นาคตัวนี้ยังไม่สร่างเมาสักเท่าไหร่…หรอก นาคก็นั่งพนมมือ รับศีลรับพรจากพระ (นั่งหลับซะส่วนใหญ่)
ถึงเวลาแห่นาคไปยังโบถส์ ฉากนี้แหละเด็ดสุดๆ ผู้คนมาจากสารทิศมาชื่นชมนาค โกนหัวแป้ง ใส่แว่นดำ (ทำไมต้องใส่ไม่รู้) แต่ดีอย่างปกปิดดวงตาอันแดงกร่ำ ของนาคที่แฮงค์ได้
"โห่ๆๆๆๆๆๆ ฮิ้วววววว โหม่ง เท่ง โหม่ง เท่ง โหม่ง เท่ง โหม่ง" เสียงเครื่องดนตรี นานาชนิด ที่หัวขบวน ดังลั่น และพวกขี้เมาที่หัวแถวฟ้อนแอ่น
"อ้าววว เอานาคขึ้นคอๆ" เสียงบอกทิดจ่อย ผู้ร่างบึกสุดรับอาสา แบกจันบนคอ และคนอื่นๆก็หิ้วเครื่องของจำเป็นที่พระต้องใช้ ต่างๆมากมาย
ที่แน่ๆ พลอย สาวสวยอีกคนถือหมอนให้ เพราะแม่ของจันเป็นคนจัดแจงให้ คงหมายมั่นให้จัน อย่างเต็มที่แหละมั้ง…
ขบวน เดินทางไปที่โบถส์ราวๆ 1 กม. เสียงเพลงร้องรำดังลั่นไปทั่ว สนุกสนานมากๆ…น้อย สาวใหญ่ สนุกสนาน บานตะไท คนที่ดูท่าทางจะ
ทุกข์สุดๆ คือ จัน เพราะทิดจ่อย โยกมากเกินไป ในขณะที่ จัน กำลังเมาแฮงค์ อยู่บนคอ
"อ๊วก….ก อ๊วกกก แค๊ก..ๆ" เสียงนี้ออกมาจากปากจัน แล้วน้ำเปรี้ยวๆคาวๆ ก็ราดลง บนหัวของทิศจ่อย หนุ่มร่างบึกที่แบกจันอยู่บนคอ
"อ้ายจ่อย…เอาผมลงก่อนๆ" เสียงจันบอกทิดจ่อย ให้เอาลงจากที่สูง
เสียงดนตรีประโคม เงียบสนิท ผู้คนพูดเสียง พึมพรำๆ จับไม่ได้ศัพท์ ว่าพูดอะไร (คาดว่าจะเป็นเสียง นินทาแหละมั้ง)
"โอยย..เน้อ แบกเมื่อยก็เมื่อย ยังมาทำแบบนี้กับผม น้อนาคน้อ" ทิดจ่อยตัดพ้อ พร้อมกับลูบเศษอาหารออกจากหัวและไหล่
"ขอโทษๆ ผมพยายามแล้ว อ้ายจ่อยเต้น เกินไป มันเลยออกมา" จันตอบ
"แม่ๆ ขอน้ำหน่อย" จันเรียกหาแม่ซึ่งอยู่ไม่หากออกไป บ้วนปาก ที่ขมปี๋ และสำรวจชุดนาคของตัวเอง ว่า โอเคอยู่ไหม
"น้ำอะไร นี่แม่" นาคจันแปลกใจ กลิ่นน้ำแปลก ที่แม่ยื่นให้
"น้ำอบน้ำหอม เตรียมไปทำน้ำมนต์ เพื่อเป็นศิริมงคล" แม่ตอบ เพราะมีน้ำอันเดียวแหละ นอกนั้นเป็นขวดเหล้าขาวชาวบ้าน
ทิดจ่อย จำต้องปลดระวางไปเพราะเป็นม้าให้ขี่ไม่ได้ อ้ายสม เลยจำเป็นต้องเป็นม้าแทน
"มั่นใจยังว่า ออกมาหมดแล้ว" อ้ายสม ถามจันเพื่อความมั่นใจของตัวเอง ว่าจะไม่โดนจัน ทำร้ายเหมือนทิดจ่อย
"เออน่าา…ไม่ละ ไปๆได้" จันรับปาก แล้วสั่งกำลังพลเดินหน้า เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง
"เอ๋า ก้องถือร่มเข้ามาใกล้ๆหน่อยสิ มันร้อนหัวนะ" จันว่าก้องถือร่มไม่บังแดดที่เผาหัวตัวเองที่ไร้ผมอยู่
"ต้องระวังตัวไว้ก่อน ตะกี้ ผมโดนสะเก็ดระเบิดด้วย แต่พอรับได้" ก้องยิ้มแล้วก็ขยับร่มให้เงาไปยัง นาคจัน
ถึงโบสถ์จนได้ แห่งรอบโบสถ์ สามรอบ แล้วน้ำนาคเข้าโบสถ์ เพื่อทำพิธี ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าที่อ๊วก ออกไป
หรือป่าวไม่ทราบได้ ถึงเวลาสวดขวัญนาค ชายผู้มีน้ำเสียงอันไพเราะเพราะพริ้ง เอื้อนเอ่ย พรรณนาพระคุณของแม่
ทำให้ นาคจัน น้ำตาไหลเป็น เผาเต่า จากนั้นก็พระอุปชาย์ (เขียนยังไงเนี่ย) ก็ทำพิธี บวช แต่นาคจันตัวนี้ จำอะไรไม่ได้สักตัวเดียว
ที่พยายาม จะท่อง เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ใจไปอยู่ กับสาวหมด ในที่สุดก็บวชเสร็จจนได้ เป็นพระสมใจแม่
"ทำวันเช้า ละ" พระจันบ่นในใจด้วยความขี้เกียจเล็กน้อย ซึ่งทำไม่เป็นหรอก ไปนั่งจำๆจากพระรุ่นพี่ก่อน
เมื่อทำวัดเช้าเสร็จก็ต้องเตรียมเช็ดก้นบาตรให้พร้อมที่จะเดินทาง จีวรต้องแน่นหนาเพราะพระมือไหม่หัดขับ
"ดูท่าน ผ่องใส่ดี เน๊อะพระจัน เนี่ย" เสียงโยมแก่คนหนึ่ง ใส่บาตรพระจัน ยกมือไหว้ แล้วบอกแม่พระจันที่กำลังใส่บาตรพระลูกตัวเอง
แม่พระจัน ได้แต่ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะภาคภูมิใจได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชาย หารู้ไม่ ลูกชายของแม่จันกำลังเดิน ท่าทางเหมือนเหยียบ
หนามหรือเหยียบเศษแก้วอยู่ แต่ต้องเก๊กมาด สงบเงี่ยมอย่างพระรูปอื่นๆ ไม่งั้นเสียเชิงเณรตัวเล็กหมดๆ กลับถึงวันพร้อมฉันท์อาหารเช้า
" @#!&*#())$* " (สมมติว่าเป็นคำสวด บาลี) พระจัน งง ครับท่าน หัดอยู่หลานวันกว่าจะสวดฉันท์อาหารเช้าได้ ให้พรคนที่ตักบาตรได้
ซึ่งก็ทำอายเณรตัวเล็กได้ ไม่น้อยเหมือนกัน แต่แล้วก็ไม่วาย วันที่สองของการบวช ในหมู่บ้านมี 2 งานที่ต้องนิมนต์พระในวัดไปสวด
ตายละสิ ทำไงเนี่ยบวชได้ 2 วัน ท่องฉันท์ข้าวเช้ายังไม่เป็นเลย เมื่อเจ้าอาวาส รับปาก ออกคำสั่ง เรารึจะทำไม่ได้
"เช้านี้ ท่านจัน ต้องไปกับพวกฉันนะ มีสวดสืบชะตา ยายบัว" พระเจ้าอาวาส ออกคำสั่งให้ไปสวด สืบชะตา..!! WOW
"ช่วงบ่ายมีงานเผาศพที่วัดบ้านใต้ เขานิมนต์วัดเรา 2 รูป ท่านจันไปกับฉันนะ" เอาอีกละบ่ายมีงานอีกละ
งานแรกนี่ไม่เท่าไหร่ เพราะไปหลายรูป พระจัน นั่งหลับตาไม่มองชาวบ้าน แล้วพนมมือ ช่วงไหนที่ท่องซ้ำ พอจำได้ก็เสริมๆไป
ท่อนไหนไม่รู้ก็เงียบๆไปก่อน…ไปจนได้แหละ ไม่ว่าจะสวดอะไร นับตั้งแต่อัญเชิญ …ไปนู่น (เพื่อความสบายใจของชาวประชา
มีรึพระจันจะทำไม่ได้ ในที่สุด ไม่นานวันจากนั้น ยายบัวก็ตาย เห็นไหมว่า สืบชะตาต่อชีวิต ไม่ขลังเสมอไป)
ช่วงบ่าย วัดบ้านใต้ไปสวดบังสกุล หน้าศพ พระจันเริ่มหนักใจ จะสวดยังไง สวดบังสกุล พอถึงคราวที่ไมโครโฟน เรียกชื่อ ฉายา
ทางพระ ก็ยังเฉยๆ เพราะไม่คุ้นฉายา ตัวเอง พระอาจารย์อุปชาญย์ (เจ้าอาวาส) เอามือสะกิด
"ถึงคราวท่านไปบังสกุลหน้าศพละ" พระจัน จึงรู้ตัวว่าตัวเองถึงคิว จากการสังเกตุ พระอาจารย์ รูปที่ผ่านๆมา ที่ไปยืนหน้าศพ ก็จะมีแค่คนทอดผ้าบังสกุล และพระผู้บังสกุล จากนั้นเอา ตลปัตร บังหน้าตัวเองแล้วสวดอะไรสักอย่าง พึมพำๆ จบ คิดได้เช่นนั้นพระจันจึงเลียนแบบ
ไปยืนหน้าศพ เอาตลปัตรบังหน้า (ในทิศที่คนเยอะที่สุด) จากนั้นก็พูดว่า
"ไปดีมาดีนะ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กัมมุนา วัตตีโลโก" พระจันพูดพึมพำ และลงท้ายด้วยคำบาลีที่ดังหน่อยเพื่อให้
คนที่บังสกุลได้ยินว่า พระวัดนี้ก็ใช่ย่อยมีคำบาลีด้วย (ซึ่งจำมานานละคำนี้ สมัยรวยพนันแล้วเจ้งเพราะพนัน)
รอดไปสองวัน วันที่สามก็เกิดเรื่อง เมื่อสาวจิ๊ด ใส่กางเกงขาสั้น มาถวายขนมปังและนมที่วัด ซึ่งตอนนั้นศีล 207 ข้อมีข้อห้ามคือ
ห้ามอยู่ในที่ลับหูลับตากับหญิงสองต่อสอง / ถ้าเจอหญิงใดให้เลี่ยงที่จะคุยด้วย ถ้าคุยด้วยให้คุยด้วยให้น้อยที่สุด / การเด็ดใบไม้เป็นการผิดศีลด้วย
พระจันจึง ไปเชิญ แม่ชี มาเป็นเพื่อนเพื่อให้พ้นข้อที่ 1 ส่วนของเพราะมีแม่ชีจะทำให้เราไม่กล้าคุยอัตโนมัติ แต่ข้อสุดท้าย ต้นไม้ที่พระจันยืนใกล้ๆ
แทบไม่เหลือใบด้วยเหตุผลกลใดก็สุดจะทราบได้
"กราบนิมนต์ค่ะท่าน จิ๊ดเอา นมและขนมปังมาถวาย" เสียงจิ๊ดพูดถวายของพระจัน การแต่งกายของจิ๊ดเองดูไม่เหมาะสมเท่าที่ควรที่ใส่กางเกงขาสั้น
ขี่มอเตอร์ไซต์มาวัดแบบนี้
"เจริญพรโยม ไม่เป็นไร หรอกอัตมา ฉันท์อิ่มละ แต่มีคนมาถวายก็ ต้องรับไว้เพราะเป็นศรัทรา" พระจันตอบดู สงบนิ่ง แต่ในใจมันปั่นป่วน แต่พยายามควบคุม
"จิ๊ด กราบลาล่ะค่ะ พรุ่งนี้จะมา ถวายใหม่" จิ๊ดกราบ พร้อมกับ ขับรถมอไซต์ออกวัดไป
"ท่านค่ะ ดูเขางามดีนะท่านค่ะ" แม่ชี พูดเสริมขึ้นมาด้วยความจริงใจ เล่นเอาพระจันพูดไม่ออก ได้แต่ยิ้มๆ แล้วผงกหัวเดินเข้ากุฏิไป
เพื่อบอกโยมแม่ ว่าจะสึก เพราะขืนบวชต่อไป จะทำให้คนเสื่อมศรัทธาพระพุทธศาสนา ชาวบ้านเขาจะนินทาได้ มันไม่งาม
แม่ของพระจัน จึงยอมตามใจทิศจัน สุดท้ายพระจัน จึงกลายเป็น ทิศจัน งานฉลองอันใหญ่โต เพื่อบวชแค่ 7 วัน..สาธุ
จากวันที่ทิศจันสึก ชาวบ้านก็เห็น ทิศจัน ขึ้นทัวร์สวมหมวกแก๊บ(กันหัวโล้น) ไปกับ สาวจื๊ด เข้า กทม. แล้วก็ไม่ได้ยินข่าวของเขาอีกเลย นับแต่นั้นมา..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น